จากกรณีที่ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นหนังสือถึงนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อขอให้อธิบดีสรรพากรมีหนังสือสั่งการให้ข้าราชการตรวจสอบภาษีแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎร
เช่น นายปกรณ์ พรชีวางกูร และ น.ส.อินทิรา เจริญปุระ เป็นต้น ซึ่งเปิดรับบริจาคเงินโดยอ้างว่าเป็นการสนับสนุนการชุมนุม ว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ เคยมีประเด็นร้อนที่ทำก๊วนท่อน้ำเลี้ยงม็อบวงแตก โดยต้อม ยุทธเลิศ ได้ออกมาโพสต์ภาพรายการเดินบัญชีในสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงศรี ซึ่งเปิดเผยยอดเงินเข้ารายการตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2563 ยอดคงเหลือ 39,799.87 บาท จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ยอดเงินคงเหลือ 1,053,024.91 บาท และได้ท้าไปยัง
นอกจากนี้ยังฝากไปถึงทรายด้วย ว่า ทรายต้องบอกความจริงด้วยว่า คนที่เข้ามาสร้างประเด็นเรื่องหนังคือ อิ๊ก เพื่อนของทรายเอง พอเปิดประเด็นได้ก็ลบโพสต์หนีไป หลักฐานวันนี้จริง ๆ จะใช้ในชั้นศาลแต่เอามาให้ดูกูแชร์ได้ ถ้าทรายกับบุ๊งโปร่งใสจริงก็ต้องทำแบบนี้ เอายอดบัญชีย้อนหลัง 1 ปี ออกมากางให้เห็น ไม่จำเป็นต้องปิดบัง!
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทราย เจริญปุระ แม่ยกม็อบ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ชี้แจงสาเหตุที่ไม่เปิดเผยบัญชีของม็อบ ที่กำลังเป็นประเด็นดราม่า โดย ทราย ระบุว่า ถือว่ามาชวนคุยนะคะ คำถามเรื่องแจงบัญชีอะไรนี่มันก็มีมาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว และเราก็บอกทุกที ว่าเหตุผลที่เปิดไม่ได้มันคืออะไร คนช่วยหลายคนไม่อยากเปิดตัว และเจ้าหน้าที่ก็เลือกจะกดดัน หว่านหมายไปทุกที่ที่เห็นว่าเกี่ยวข้องแม้จะน้อยนิด ตั้งแต่แรก ๆ ที่ถ้าใครจำได้คงรู้เรื่องตำรวจลงโรงงานหมวกกันน๊อกกดดันให้เปิดยอด ขอเช็คเส้นทางการเงิน ขอรู้ว่าใครสั่ง จนเป็นข่าวก็บอกว่าไปตรวจมอก.หมวกกันน๊อคอะไรแบบนี้
ทั้งนี้เงินบริจาคที่ม็อบ 3 นิ้ว นำมาใช้เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง คงไม่มีใครกล้าที่จะเปิดเผยออกมาว่าใช้ทำอะไรบ้าง เพราะจะทำให้ถูกตรวจสอบง่ายจากฝ่ายรัฐและโอกาสที่จะถูกสกัดก็มีสูง ส่วนฝ่ายบริหารเงินจะใช้จ่ายไปในทางที่ทุจริตหรือไม่ คนข้างในม็อบน่าจะรู้กันดี และตรวจสอบได้ในเบื้องต้น แต่คงไม่มีใครกล้าออกมาแฉ เพราะว่าผลประโยชน์อาจจะค้ำคออยู่
แน่นอนว่าม็อบต้องขับเคลื่อนด้วยเงิน หากไม่มีเงินบริจาคไหลเข้ามาการเคลื่อนไหวต่อก็ทำได้ยาก ยิ่งตอนนี้แกนนำหลักทีมราษฎรอยู่ในเรือนจำทั้งหมด ถือว่าต้องลุ้นกันว่า เงินม็อบจะยังสะพัดอยู่มั้ย ยิ่งมีการแฉรายวัน เรื่องอมเงิน อาจจะทำให้คนบริจาคตาสว่าง ตัดสินใจไม่สนับสนุนต่อ ในส่วนของต้อม ยุทธเลิศวันนี้รีบตัดสินใจโชว์รายละเอียดตัวเลขในบัญชี ก่อนที่เรื่องราวบริจาคเงินจะบานปลาย แต่ต้องมารอลุ้นว่าทางฝั่งแม่ยกทราย จะออกมาโชว์บัญชีแบบนี้ได้หรือไม่
และสิ่งที่จะตามมาในอนาคตของทีมแม่ยกม็อบ “ทราย-บุ๊ง” ก็น่าจะพอรู้ว่า จะถูกไล่บี้สืบเส้นทางการเงิน เนื่องจากบัญชีรับบริจาคในม็อบทั้งหมดกระทำในนามบุคคล นั่นหมายถึงกรมสรรพากรสามารถตรวจสอบที่มาของเงินได้ (กรณีโอน) และเงินบริจาคครั้งนี้ไม่ใช่บัญชีเพื่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือเพื่อสาธารณประโยชน์ แต่เป็นการใช้เคลื่อนไหวทางการเมือง
ซึ่งก็มีเคสของ นายสมหวัง อัสราษี หนึ่งในแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้เห็นกันมาแล้ว
โดยเจ้าตัวได้เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “สมหวัง อัสราษี-เฮียหวัง” ระบุเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 ว่า
“ใครไม่โดนกับตัวเองจะไม่รู้ว่าหนักแค่ไหนแบบเดียวกับผม ผมอยู่ นปช. มีแต่ใจเกินร้อยกับพี่น้อง แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเองกำลังมีชะตากรรมที่ต้องแบกรับแทนคนอื่น สามเกลอ (นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ใช้ผมไปเปิดบัญชีเพื่อรับเงินบริจาค และกิจกรรมอื่นๆ
โดยที่พวกเขาไม่ยอมใช้ชื่อตัวเองไปเปิดบัญชีรองรับเงิน เพราะเขารู้ว่าจะถูกสรรพากร ประเมินเสียภาษี ทั้งหมดนี้ผมโดนสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากเงินเหล่านี้เป็นเงิน 572 ล้าน ผมจะเอาที่ไหนไปจ่าย ก็เลยโดนฟ้องล้มละลาย และตอนนี้โดนอายัดทรัพย์ และอายัดบัญชีทั้งหมดเหลือแต่ตัวแล้วครับ แถมเป็นบุคคลล้มละลายด้วย ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทราย เจริญปุระ ด็ได้โพสต์ข้อความขอรับบริจาคเงิน เพื่อนำเงินไปประกันตัว ผู้ต้องหาทั้งหมดทุกคนที่ถูกจับกุมจากหมู่บ้านทะลุฟ้า โดยบอกว่า “ยอดประกันคนละ 20,000 โดนทั้งหมด99คน อันนี้เป็นเลขบัญชีของกองทุนประกันตัวผู้ต้องหาทางการเมืองโดยตรง สามารถช่วยเหลือได้ค่ะ” จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอีกครั้ง
โดยล่าสุด กองทุนราษฎรประสงค์ ที่ใช้ชื่อบัญชี ชลิตา บัณฑุวงศ์ และไอดา อรุณวงศ์ฯ ได้เปิดเผยยอดเงินในบัญชีของวันที่ 30 มี.ค. 64 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 8,068,196.83 บาท โดยดองทุนดังกล่าวจัดตั้งขึ้น เพื่อเงินวางประกันตัวและเงินค่าปรับในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวจากแวดวงสรรพากรได้เปิดเผยด้วยว่า การใช้บัญชีส่วนตัวเปิดรับบริจาคนั้นต้องดูเจตนาว่านำไปใช้เพื่อประโยชน์ใด หากเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์ก็ต้องแจงที่มาที่ไปได้ ดีที่สุดคือการเปิดบัญชีใหม่เพื่อความโปร่งใส เมื่อเงินเข้ามาแล้วจ่ายออกไปตามวัตถุประสงค์ มีหลักฐานชัดเจนอย่างนี้จะไม่มีปัญหา เมื่อครบตามเป้าหมายแล้วก็ปิดบัญชี
แต่ถ้าเป็นการเปิดบัญชีรับบริจาคในนามส่วนตัว แล้วไม่สามารถชี้แจงการใช้จ่ายเงินว่าเพื่อวัตถุประสงค์ใด ตรงนี้อาจเข้าข่ายว่าเป็นรายได้ ซึ่งจะมีเรื่องของภาษีที่ต้องชำระเข้ามาเกี่ยวข้อง หากปล่อยให้เวลายืดออกไปจะมีเรื่องของดอกเบี้ยปรับ บวกกับระยะเวลาที่ไม่ยื่นภาษีบวกรวมเข้ามาด้วย
คนที่เปิดบัญชีส่วนตัวรับเงินบริจาคเพื่อกิจกรรมทางการเมืองนั้น ท่านต้องทราบว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกตรวจสอบได้ เมื่อเจ้าหน้าที่สรรพากรเรียกมาชี้แจงต้องอธิบายที่มาที่ไปการใช้เงินได้ เพราะการเปิดบัญชีส่วนตัวจะแตกต่างกับบัญชีมูลนิธิที่ทำเพื่อสาธารณประโยชน์ ตัวอย่างในอดีตก็มีหลายเคส ทั้งนี้สำหรับกองทุนราษฎรประสงค์นั้น เปิดบัญชีด้วยชื่อของบุคคล ซึ่งตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2563 จำนวนเงินรายได้สุทธิตั้งแต่ 5,000,000 บาทขึ้นไป จะต้องเสียอัตราภาษี 35% ของรายได้ ซึ่งหากคำนวนจากยอดเงินปัจจุบัน กองทุนอาจต้องจ่ายภาษีถึง 2,800,000 บาท
ทั้งนี้ ในม็อบของก๊วน 3 นิ้วครั้งนี้ จะเป็นลักษณะเปิดบัญชีรับบริจาคในนามบุคคล เกือบทุกภาคส่วน การ์ดก็เปิด ทีมอื่น ๆ ก็เปิด ทีมใดที่สร้างผลงานดีย่อมมีเงินบริจาคจากผู้ที่เห็นด้วยเข้าไปมาก แม้แต่แกนนำถูกคุมขังในเรือนจำก็เปิดรับบริจาคเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสู้คดี หรือเป็นค่าอาหารภายในเรือนจำ ตรงนี้ต้องยอมรับว่าเจ้าของบัญชีต้องทราบถึงผลที่จะตามมา ว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก ๆ ที่จะถูกตรวจสอบอย่างแน่นอน และคงต้องชำระภาษีย้อนหลังกันอ่วมแน่ๆ