และแล้วข่าวดีของคนไทยก็มีมาให้ชื่นใจอีกครั้ง เมื่อข้าวหอมมะลิไทยมีแววรุ่งในปี 2564นี้ เป็นผลจากการทวงแชมป์ข้าวดีที่สุดในโลกของปี 2563 และตลาดกำลังซื้อสูงให้การตอบรับ เป็นเช่นนี้คนไทยเรายิ่งต้องช่วยกันปลูก ช่วยกันกิน ช่วยกันซื้อข้าวไทยให้มากๆ สำหรับข้าราชการ-นักการเมือง-ภาคเอกชนก็ต้องช่วยกันส่งออกไปขายให้ระบือลือโลกเลยยิ่งดี แต่ไม่เอาแบบรัฐบาลก่อนๆที่ทำให้คนไทยต้องเป็นหนี้เพราะ โครงการจำนำข้าว กว่า 7 แสนล้านบาท ต้องก้มหน้าก้มตาใช้หนี้กันไป 16 ปี และก็เห็นแล้วว่าผลของการทุจริตคอรัปชั่นก่อความเสียหายกับประเทศชาติ ชาวนาและตัวคนทำอย่างไร?
เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ข้าวหอมมะลิของประเทศไทยได้รับรางวัล ข้าวที่ดีที่สุดในโลก หรือ “World’s Best Rice Award 2020” จากการประกวดข้าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดเป็นประจําทุกปีในงานประชุมข้าวโลก หรือ World Rice Conference ครั้งที่ 12 จัดโดย The Rice Trader สหรัฐอเมริกา ทำให้ข้าวของไทยกลับมาเป็นที่จับตามองจากนานาประเทศอีกครั้ง แล้วก็ไม่ผิดหวัง เมื่อปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในรอบไตรมาสแรกของปี 2564 แต่เป็นข้าว เกรดพรีเมี่ยมที่ไม่ต้องแข่งขันราคา ข้าวหอมมะลิจึงกลายเป็นสินค้าชูโรงในหมู่สินค้าข้าวชนิดอื่นๆ เช่นข้าวนึ่ง ข้าวขาว ข้าวเหนียว เป็นต้น
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2564 ภาพการส่งออกข้าวของไทยน่าจะสามารถประคองตัวต่อไปได้ที่ราว 5.8-6.0 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3-4.8 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของความต้องการข้าวทั้งหมดในตลาดโลกที่ร้อยละ 1.7 โดยมีตัวผลักดันจากข้าวหอมมะลิที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกามีการเติบโตได้เป็นอย่างดีอยู่ที่ 0.54-0.56 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7-14.8 จนสามารถผลักดันให้การส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปตลาดโลกอยู่ที่ 1.3-1.35 ล้านตัน หรือเติบโตได้ถึงร้อยละ 9.3-13.5
ขณะที่ตลาดข้าวประเภทอื่น เช่น ข้าวขาว ข้าวนึ่ง คาดว่าอาจทำได้เพียงมีการเติบโตเท่ากับความต้องการข้าวทั้งหมดในตลาดโลกเท่านั้น ไทยจึงอาจจะยังไม่สามารถแข่งขันในตลาดข้าวประเภทอื่นได้ ดังนั้น ข้าวหอมมะลิจึงน่าจะเป็นตลาดที่ไทยทำได้ดีที่สุดหรือมีความสามารถในการแข่งขันส่งออกมากที่สุด และเป็นตลาดพรีเมียมที่ไม่ได้แข่งขันด้านราคา ซึ่งจะทำให้ไทยยังคงประคองตัวเลขการส่งออกข้าวไว้ได้มากกว่าปีก่อนและสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวในโลกไว้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ราวร้อยละ 12.8
แม้การส่งออกข้าวของไทยในปี 2564 จะยังสามารถประคองตัวได้ตามเป้าหมาย ด้วยแรงหนุนจากปัจจัยบวกคือ ปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นจากการเข้าสู่วงรอบของลานีญา ทำให้มีปริมาณผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น แต่คงต้องยอมรับว่า การส่งออกข้าวไทยจะยังคงต้องเผชิญปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องจากปีก่อน แม้จะที่ดีขึ้นบ้างแล้วก็ตาม ทั้งในเรื่องของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลายบ้าง รวมถึงปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่น่าจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าปีก่อน และ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ทำให้การส่งออกข้าวไทยยังเติบโตได้ในกรอบที่จำกัด
อีกเสียงหนึ่งที่ทำให้เรามั่นใจในสถานการณ์ที่ดียิ่งของข้าวหอมมะลิไทยคือ
คุณนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าวเปิดเผยว่า ข้าวหอมมะลิไทยยังคงรักษาระดับการส่งออกได้ดี แม้มีราคาสูงกว่าคู่แข่งและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกคุณนนทิชาอธิบายว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไปยัง 4 ตลาดสําคัญ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกรวม กว่า 50% ของการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยทั้งหมด ได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา สิงคโปร์ และฮ่องกง”
“นอกจากนี้ ปริมาณการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปยังตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้น 10.46% และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4.69% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของข้าวหอมมะลิไทยที่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดข้าวพรีเมี่ยมที่มีกําลังซื้อสูง และต้องอย่าลืมว่าชาวต่างชาติทุกคนไม่ได้ชอบกลิ่นหอมของข้าวหอมมะลิไทย บางประเทศก็นิยมรับประทานข้าวนุ่มแบบไม่มีกลิ่น ซึ่งทำให้ข้าวไทยสายพันธ์อื่น ๆ ก็มีความสำคัญต่อการส่งออกไม่แพ้กัน”
ส่วนสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้คาดการณ์สถานการณ์ส่งออกข้าวโดยรวมของปีนี้เอาไว้ว่า
- การส่งออกข้าวปี พ.ศ. 2564 มีแนวโน้มส่งออกข้าวสูงกว่าปี พ.ศ. 2563
- ประเมินว่าการส่งออกจะอยู่ที่ 6 ล้านตัน ซึ่งคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายการส่งออกทั้งปีที่ 6.5-7 ล้านตัน ก่อนหน้านี้
- ปัจจัยที่จะสนับสนุนให้การส่งออกปี พ.ศ. 2564 ขยายตัวมาจากแนวโน้มราคาข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวเหนียวของคู่แข่งที่ปรับตัวลดลง ซึ่งคาดว่าผู้นําเข้าข้าวจะหันมาซื้อข้าวไทยมากขึ้น
- แนวโน้มราคาข้าวหอมมะลิไทยจะลดลงมาอยู่ที่กว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ข้าวขาวจะลดลงมาจากกว่า 500 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ 495 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ราคาจะต่างกันอยู่ที่ 10 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเชื่อว่าโอกาสในการส่งออกข้าวน่าจะมีสูงขึ้น
มาดูกระบวนท่าของกระทรวงพาณิชย์เรื่องข้าวกันว่า ปิดจุดอ่อนเสริมจุดแข็งเรื่องข้าวของไทยเราอย่างไร?
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมทิศทางตลาดข้าวไทยปี 2564 ภายหลังการประชุมก็ได้ข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับเป้าการส่งออกและทิศทางตลาดข้าวไทยปี64 คือ
-ตั้งเป้าหมายการส่งออกไว้ที่ 6 ล้านตัน จากปีที่แล้วส่งออกข้าว 5.7 ล้านตัน
-เน้นตลาดสำคัญ 3 ตลาด คือ 1.ตลาดพรีเมียม 2.ตลาดทั่วไป 3.ตลาดเฉพาะ โดยตลาดพรีเมียมนั้นเน้นข้าวหอมมะลิกับข้าวหอมไทย ข้าวหอมมะลิตั้งเป้าขยายตัว ร้อยละ 4.8 ข้าวหอมไทยร้อยละ 5.2 ตลาดทั่วไปนั้นเน้นข้าวขาวและข้าวนึ่ง โดยข้าวขาวตั้งเป้าร้อยละ 4.7 ข้าวนึ่งร้อยละ 4.9 ส่วนตลาดเฉพาะ เน้นข้าวเหนียว ข้าวกล้องและข้าวสี โดยข้าวเหนียวตั้งเป้าขยายตัว 3.6% ข้าวกล้องและข้าวสีตั้งเป้าขยายตัว 12.5%
นายจุรินทร์ กล่าวว่า มีตลาดที่เราประสบความสำเร็จในการสร้างอัตราการขยายตัวได้สูงมาก คือ ตลาดแคนาดา ทีมเซลล์แมนประเทศที่โตรอนโตประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่เปิดตลาดข้าว เพิ่มการนำเข้าข้าวไปแคนาดาจากปี 62 คือ 80,000 ตัน เป็น 120,000 ตันในปี 63 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21โดยมีกลยุทธ์หลัก เช่น มุ่งเน้นการขายข้าวไทยออนไลน์ไปยังผู้บริโภคและตัวแทนค้าส่งที่สำคัญ ทำประชาสัมพันธ์ข้าวไทยไม่ต้องรับประทานแบบวิถีไทยเท่านั้น สามารถนำไปประยุกต์กับอาหารพื้นถิ่นของแคนาดาได้เช่นทำสลัดข้าว เป็นต้น และทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนสอนทำอาหารในประเทศแคนาดาและโปรโมทข้าวไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแคนาดา ประชาสัมพันธ์ว่าข้าวไทยเป็นข้าวเพื่อสุขภาพ มีน้ำตาลต่ำ โดยคนแคนาดามีน้ำตาลในเลือดสูงถึงร้อยละ 28 เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จในการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นของประเทศที่แคนาดา
ทั้งหมดนี้เป็นความร่วมแรงร่วมใจของชาวนาไทยภาครัฐและภาคเอกชน ที่ช่วยกันผลักดันสถานะข้าวไทย ให้กลับมายืนหนึ่ง แม้วันนี้ยังไม่บรรลุผลเต็มร้อย ในทุกๆตลาดทุกๆปรเภทของข้าว แต่ไม่มีอะไรยากเกินที่จะทำ เพราะข้าวคือชีวิตของคนไทย ถ้าคนไทยตั้งใจอย่างจริงจัง สู้เค้าได้ทุกสนาม สู้ให้เต็มที่!!