หลังจากที่ผลโหวตวาระ 3 ของการร่างรัฐธรรมนูญ ออกมาชัดเจนแล้วว่า เสียงโหวตของสภาไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบ และต้องกลับไปทำประชามติตามคำชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญก่อนนั้น
ล่าสุดทางด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นต่อปัญหาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกสมาชิกรัฐสภาโหวตคว่ำ ระบุว่า ไม่สามารถเดินหน้าตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยต้องไม่ยอมแพ้ : ก้าวต่อไปของรัฐธรรมนูญ การคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภาเมื่อคืน แสดงให้เห็นแล้วว่าชนชั้นนำ, กองทัพ, รัฐบาล, พรรคการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และสมาชิกวุฒิสภา ไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พวกเขาต้องการยึดอำนาจไว้กับพวกพ้องโดยไม่สนใจอนาคตของประเทศ กระบวนการที่ผ่านมาคือการซื้อเวลา แสดงละครหลอกประชาชน ผมเสียใจเป็นอย่างมากที่รัฐสภาซึ่งควรเป็นที่หาทางออกให้กับสังคม กลับเป็นผู้ปิดประตูทางออกเสียเอง แต่เราจะยอมแพ้ไม่ได้ เราจะปล่อยให้ลูกหลานเราอยู่ในสังคมแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ เรา ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย แม้ไม่มีเครื่องมือในการต่อสู้เรียกร้องมากมาย แต่เราหยุดและยอมแพ้ไม่ได้
กระบวนการเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ระยะใหม่แล้ว เมื่อแก้ทั้งฉบับทำไม่ได้ เราจะรณรงค์เพื่อให้เกิดการแก้ไขรายมาตรา ปลดเสาค้ำยันอำนาจของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนด้วยการยกเลิก ส.ว., คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ, ปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงแก้ไขที่มาของกรรมการองค์กรอิสระ
เราจะรณรงค์อย่างแข็งขันทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมรายชื่อจากประชาชน แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เพื่อปรับดุลอำนาจในสังคมไทยเสียใหม่ เชิญชวนประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุด มาร่วมกันสู้ตามระบบทุกวิถีทาง ให้สุดทุกทาง เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่าต้องการประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ประเทศไทยใต้ระบอบ คสช. พบกันในการรณรงค์ล่ารายชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราทั่วประเทศ เร็ว ๆ นี้
ขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้เสนอช่องทางว่า ต้อง “ยุบศาลรัฐธรรมนูญ-ส.ว.” หลังล้ม แก้รัฐธรรมนูญรอบนี้ด้วย
ส่วนทางด้านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ออกมาโพสต์ข้อความ หลังที่ประชุมโหวตคว่ำ แก้รัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 หลังจากที่ไม่ได้รับเสียงสนันสนุนถึงเป้า ระบุว่า “ในที่สุด ผลการโหวตแก้รัฐธรรมนูญวาระที่ 3 ก็ออกมาแล้วครับ
มติเห็นชอบ จากที่ต้องการอย่างน้อย 369 เสียง ผลคือมีผู้เห็นชอบเพียง 208 เสียง และจากที่ต้องการเสียง ส.ว. อย่างน้อย 84 เสียง ผลคือมี ส.ว. เห็นชอบเพียง 2 เสียงเท่านั้น
การแก้รัฐธรรมนูญที่ทั้งภาคประชาชนและ ส.ส. ฝ่ายค้านร่วมผลักดันกันมากว่าครึ่งปี ถูกคว่ำลงโดยการเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ (ที่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ยืนยันว่าไม่มีทางทำให้การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นโมฆะ) มาเป็นเหตุอ้าง เสียงส่วนใหญ่ในสภาเบี่ยงไป “งดออกเสียง” , “ไม่ลงคะแนน” หรือไม่ก็หายหน้าไปเลย ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับตรง ๆ ด้วยซ้ำว่าตัวเอง “ไม่ต้องการ” ให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญ
น่าผิดหวังแทนประชาชนนับแสนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้อง และอีกนับล้านที่เฝ้าคอย ความหวังของพวกเขาต้องพังทลายลงด้วยน้ำมือของบางคนที่อ้างตัวเป็น “ผู้แทนปวงชน” (ยิ่งกับบางคน ประชาชนไม่ได้เลือกมาด้วยซ้ำ)”
ทั้งนี้ในการลงชื่อโหวตวาระ 3 เมื่อวานนี้ (17 มี.ค.64) ระหว่างการขานชื่อลงคะแนนเป็นรายบุคคล นอกจากส.ส.ภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา ที่วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุมหมดแล้ว ส.ว.หลายคน ก็ไม่ได้อยู่ร่วมโหวตในห้องประชุมด้วย หรือคนที่อยู่ในห้องประชุม จะใช้วิธีขานงดออกเสียง และไม่ประสงค์ลงคะแนนเป็นจำนวนมาก ทำให้ล่าสุดพรรคภูมิใจไทย ออกมาแถลงว่า ไม่ได้เล่นละครวอล์กเอาต์ ที่ไม่ร่วมโหวตรัฐธรรมนูญ และไม่จำเป็นต้องแคร์ใครด้วย
โดยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวถึงกรณีการวอล์กเอาต์ในการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ว่า วาระ 1 และวาระ 2 ก็ผ่านมาโดยตลอด จนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งศาลก็ไม่ได้บอกให้คว่ำ ใช้เวลาปีกว่าและเสียงบประมาณมหาศาล แต่พอมาถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ก็สะท้อนเจตนาให้เห็นว่า ใครไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ทุกพรรคเล่นเกมการเมือง เป็นความต้องการที่ไม่ต้องการให้แก้ ก็ต้องไปตอบประชาชนเอา สำหรับการเสนอญัตติของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพื่อให้โหวตวาระ 3 นั้น เป็นการเสนอขึ้นมากลางอากาศ และคุยมากัน 9 ชั่วโมง แต่มาใช้เสียงข้างมาก ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้ถือว่าผิดมารยาททางการเมือง จะมีผลต่อการร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภา ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ซึ่งเรื่องการร่วมรัฐบาลเป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค แต่เชื่อว่าการทำงานในสภาของพรรคร่วมรัฐบาลคงจะไม่ราบรื่น ถ้าไม่มีการพูดกันให้ชัดเจน ก็ต่างคนต่างทำงานกันไป ตามความคิดเห็นของแต่ละพรรค
เมื่อถามว่า สถานการณ์เช่นนี้จะนับอายุถอยหลังของรัฐสภาได้หรือยัง นายชาดา กล่าวว่า ระยะเวลา 4 ปี วันนี้ก็นับถอยหลังลงทุกวัน เหมือนกับการขึ้นภูเขา ที่ทำงานมา 2 ปีแล้ว ก็ต้องถอยลงทุกครั้ง ถือเป็นเรื่องธรรมดา และตนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะให้สภายุบหรือไม่ยุบ
ส่วนกรณีที่พรรคฝ่ายค้านมีเสียงตีกลับว่าพรรคภูมิใจไทยเล่นละคร ไม่ยอมลงมติ นายชาดา กล่าวว่า เขาเล่นละครอยู่แล้ว พวกภูมิใจไทยไม่เล่นละคร และไม่ได้เล่นเกม เอาไม่เอาเราบอกชัด ไม่มีเหตุผลต้องไปแคร์ใคร และไม่ต้องการที่จะรักษาฐานอำนาจให้ใคร เราต้องการรัฐธรรมนูญที่เป็นธรรมและไม่ใช่การผูกขาดอำนาจ รวมทั้งพรรคภูมิใจไทยและตนมีเจตนาตั้งแต่ต้นว่าต้องการให้แก้ และตนก็ไม่สนว่า ส.ว.จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ตนสนใจว่าในรัฐธรรมนูญยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องแก้ไข โดยเฉพาะการกระจายอำนาจ และการทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งวันนี้ประเทศชาติไม่ได้เดินอยู่บนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ แต่อยู่บนถนนลูกรังที่มีรอยปะขุขระไปทั่ว แต่ทุกคนก็เล่นเกมของตัวเอง
อย่างไรก็ตามหลังจากคว่ำร่างรัฐธรรมนูญไปแล้ว พรรคภูมิใจไทยจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญอย่างไรต่อไป นายชาดา กล่าวว่า จะต้องมาดูและพูดคุยกันอีกที
แน่นอนว่าการ “วอล์กเอาต์” ของพรรคภูมิใจไทย ทำให้ถูกพรรคก้าวไกล และเพื่อไทย นำมาเป็นประเด็นโจมตีไม่น้อย แต่หากมองในอีกแง่มุม ถือว่า พรรคภูมิใจไทย หวั่นตัวทันที่ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อให้ก้าวไกลนำไปเหมารวม ว่าได้เสียงข้างมาก และจะได้เขียนร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รวมทั้งไปต้องติดร่างแหผิดจริยธรรมวินัยร้ายแรงในการขัดคำวินิจฉัยของศาลฯด้วย