ดิ้นเป็นหมาถูกน้ำร้อน!?! ชำแหละ “ปิยบุตร” กลัวการลงประชามติแก้รัฐธรรมนูญ กลัวประชาชนไม่เอาด้วย!?!
จากกรณีที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่ารัฐสภามีอำนาจหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วลงประชามติอีกครั้ง ดังนั้น ในการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้จะต้องทำประชามติ 2 ครั้ง
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย นาย ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขธิการคณะก้าวหน้า ก็ได้อกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อเวลา 15.00 น. ว่า “รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
นัยของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนี้ คืออะไร?
ตกลงแล้ว เราจะเดินหน้าต่ออย่างไร?
ประชามติกี่ครั้ง?
ประชามติแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างไร?
คำว่า “ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” นั้น คือ ประชามติประเภทไหน?
พบกับปิยบุตร แสงกนกกุล และพริษฐ์ วัชรสินธุ พูดคุยกับทุกท่าน ถ่ายทอดสดจาก Clubhouse
ล่าสุดทางด้าน นายศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความ ถึงกรณีของนายปิยบุตร โดยระบุข้อความว่า
ทำไมปิยบุตรถึงกลัวการลงประชามติ?
ถ้าปิยบุตรเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจริงๆ จะกลัวการลงประชามติไปทำไม?
ปิยบุตรที่ชอบแอบอ้างประชาชน ทำไมถึงกลัวการลงประชามติที่เป็นเสียงอันแท้จริงของประชาชน?
แม้ปิยบุตรจะชอบอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” กับ “ประชาชน” แต่ปิยบุตรกลับเป็นเผด็จการทางความคิดในคราบของนักประชาธิปไตยจอมปลอม ไม่ต่างจากคณะราษฎรที่แอบอ้างประชาชนจนกระทั่งเรียกกลุ่มของตัวเองว่า “คณะราษฎร” ทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นคณะเผด็จการของคนเพียงไม่กี่คน และไม่เคยสนใจเสียงอันแท้จริงของประชาชน
1.ปิยบุตรถือลัทธิรัฐธรรมนูญ
ปิยบุตรถือลัทธิรัฐธรรมนูญที่เป็นแนวทางผิดตามรอยคณะราษฎร ตลอดระยะเวลาเกือบ 90 ปี ประเทศไทยถูกครอบงำโดยลัทธิรัฐธรรมนูญของคณะราษฎร หลอกลวงประชาชนให้หลงผิดว่า รัฐธรรมนูญเป็นตัวประชาธิปไตย โดยที่คณะราษฎรไม่ได้สร้างประชาธิปไตยและทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน จึงไม่แปลกที่ปิยบุตรจะกลัวการลงประชามติซึ่งจะไปทำลายลัทธิรัฐธรรมนูญ สร้างแนวโน้มไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะการลงประชามติในครั้งนี้จะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนต้องการประชาธิปไตย ประชาชนต้องการโอกาสในการแสดงเจตนารมณ์และเปล่งเสียงอันแท้จริงของประชาชน
2.ปิยบุตรฉวยโอกาสจากความขัดแย้งและความแตกแยกของประชาชน
ปิยบุตรบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด เพื่อด้อยค่าสถาบันฯ โจมตีเสาหลักของชาติ ฉวยโอกาสจากความขัดแย้งและความแตกแยกของประชาชน ในการเผยแพร่วิชาการบิดเบือนและมุมมองกฎหมายที่บิดเบี้ยว พฤติกรรมที่ผ่านมาของปิยบุตรไม่ใช่แค่เพียงสำเร็จความใคร่ทางวิชาการ แต่แนวคิดแย่ๆของเขายังเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความขัดแย้งและความแตกแยกผ่านทางโซเชียลมีเดียในสังคมปัจจุบัน ตลอดจนมีส่วนผลักดันให้ผู้อื่นทำผิดกฎหมายและติดคุก ในขณะที่ปิยบุตรไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไร จนอาจเรียกได้ว่าปิยบุตรเป็น #อาชญากรทางวุฒิปัญญา
แทนที่ปิยบุตรจะเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในการลงประชามติที่เป็นวิธีการทางประชาธิปไตยซึ่งเป็นแนวทางสันติวิธี แต่ปิยบุตรกลับบิดเบือนด้อยค่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และปฏิเสธการฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน แล้วแสดงจุดยืนไม่ให้รัฐสภาปฏิบัติตาม สนับสนุนแนวทางที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความแตกแยก มีแต่จะผลักดันปัญหาความวุ่นวายในรัฐสภาให้บานปลายจนกลายเป็นทางตันของสังคม ก่อให้เกิดเงื่อนไขของการปลุกม็อบลงถนนตลอดจนการก่อจลาจลสร้างความวุ่นวาย มีแต่จะนำไปสู่ความรุนแรงและสงครามกลางเมืองในที่สุด
ดังนั้นความต้องการของปิยบุตรจึงไม่สอดคล้องกับความต้องการอันแท้จริงของประเทศชาติและประชาชน ปิยบุตรจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อสันติภาพและประโยชน์สุขของปวงชน เป็นอาชญากรทางวุฒิปัญญาตัวฉกาจที่กำลังจะชี้นำสังคมไทยไปสู่มิคสัญญีกลียุค ถ่วงความเจริญของชาติและประชาชนให้อยู่ในวงจรอุบาทว์ของลัทธิรัฐธรรมนูญอันยาวนานที่คณะราษฎรได้สร้างขึ้น ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ปวงประชาชนชาวไทยเปล่งเสียงแห่งความต้องการอันแท้จริง ในการเรียกร้องสันติภาพแห่งชาติและการสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จโดยสมบูรณ์ สานต่อพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ให้เป็นความจริง “…ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร…”