จากกรณีที่พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) ได้เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์
ผู้ต้องหาในคดีเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ได้ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใน ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
ก่อนที่จะทำการควบคุมตัว นายไชยอมร ให้การว่า ได้รับบาดเจ็บที่ด้านหลัง ตำรวจจึงควบคุมตัวไปทำการรักษาที่โรงพยาบาลราชธานีก่อน ผลตรวจเบื้องต้น พบเป็นอาการที่ได้รับบาดเจ็บจากการตกนั่งร้าน ที่ปีนขึ้นไปวางเพลิงเผาทรัพย์สินราชการทาง จากนั้นได้ทำบันทึกจับกุมที่บริเวณดังกล่าว ก่อนควบคุมตัวมารักษาอาการบาดเจ็บต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ และได้มีการแถลงข่าวถึงกรณีการจับกุมแล้วนั้น
ทั้งนี้คดีการจับกุมแอมมี่นั้น ก็ชวนให้ต้องย้อนกลับไปดูโพสต์ในเฟซบุ๊ก เมื่อเวลาประมาณ 11.46 น.ของวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งนายไชยอมร โพสต์รูปภาพไฟไหม้หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม พร้อมข้อความระบุว่า
สื่อคงไม่กล้าออก
มิตรสหายท่านหนึ่งแจ้งว่า
เมื่อคืนเกิดเหตุไฟไหม้….
ที่หน้าเรือนจำคลองเปรม
คนละ 1 แชร์แด่อิสรภาพ
#ปล่อยเพื่อนเรา
และเมื่อย้อนไปในวันที่ 28 ม.ค. 2564 นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ “แอมมี่” นักร้องที่ร่วมกับกลุ่มม็อบ 3 นิ้ว ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กล่าสุด ระบุว่าตนเองโดนหมายจับ โดยบอกว่า “การที่ตำรวจเอาหมาย มาแปะหน้าบ้านพ่อแม่ผม ถือเป็นการกดดันที่ไร้ซึ่งจริยธรรม ถ้าจะทำตัวเป็นสุนัขรับใช้เผด็จการ ก็ขอเถอะครับอย่าทำนิสัย “ลอบกัด” ครั้งนั้นนายแอมมี่ ด่าเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าลอบกัด แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้หลักฐานครบ จนนำไปสู่การออกหมายจับ และได้เข้าควบคุมตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้อ่านหมายศาล ขณะที่นายแอมมี่ ยืนอยู่หน้าห้องเช่าในจังหวัดอยุธยา
สิ่งที่นายแอมมี่ ถูกจับกุมในครั้งนี้ ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม และอีกเสียงจากทางฝั่งม็อบ 3 นิ้ว มักจะบอกว่า “แอมมี่” แค่เผารูป ไม่เห็นควรว่าจะต้องโดนมาตรา 112 แต่ล่าสุดในเพจเฟซบุ๊ก สติค่ะลูก ได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ไว้ด้วยว่า “ในที่สุดก็เจอคนร้ายที่เผารูปพระบรมฉายาลักษณ์
คำพูดคนกลุ่มนี้ที่บอกว่าต้องการปฏิรูปสถาบันฯ มันคำคือโกหก ที่ตอแหลน่าเกลียดที่สุดเลยนะ
คุณดูสิ่งที่พวกเขาทำต่อประมุขของประเทศแล้วกัน
เพราะแบบนี้ ถึงต้องมีมาตรา 112 มิใช่หรือ?”
เมื่อย้อนดูอีกหนึ่งคำพูดของแอมมี่ ทำให้เห็นชัดว่า เจ้าตัวไม่ได้กลัวกฎหมาย หรือมีความสำนึกใด ๆ หลังจากที่ได้เข้าเรือนจำในความผิดต่าง ๆ มาบ้างแล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ “แอมมี่” ได้เปิดใจเล่าเรื่องในคุก ผ่านรายการแฉ ช่อง GMM ว่าต้องเข้าคุกอีกก็ยอมรับ ขอพลีชีพเพื่ออุดมการณ์ โดยครั้งนั้นพิธีกรถามว่า ตอนนี้มีคดีอยู่เท่าไหร่แล้ว ? แอมมี่ เผยว่า ตอนนี้ มีมาเพิ่มอีก 3 คดีชุมนุมหน้าเวสต์เกต ตอนนี้รวม ๆ แล้วน่าจะ 11 คดี
อยู่วงการบันเทิง ทำไมตัดสินใจเข้ามาเชียร์ม็อบเต็มตัว? นายไชยอมร เผยว่า ก็มีการพูดคุย มองถึงฟีดแบ็กที่ต้องเห็นอยู่แล้ว มันเป็นคำพูดติดกัน ว่า นักแสดง นักร้อง ห้ามยุ่งกับการเมืองนะ เพราะว่าสังคมของเรามีการคาบเกี่ยวกันระหว่าง สังคมของชนชั้นกลาง ล่าง และบน อยู่แล้ว แต่เราคิดว่ามันคือการพลีชีพ ที่แน่ ๆ เราอาจจะต้องเสียวิชาชีพ หรือ อิสรภาพที่ต้องไปติดคุก หรือ สวัสดิภาพ เรารู้นะ ว่ามันไม่ปลอดภัยมาก ๆ เรารู้กันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แต่ถ้ามองว่าใหญ่กว่าตัวเราแล้ว และได้เห็นแล้วว่ามีคนสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์ ครั้งหนึ่งในชีวิตก็คิดว่าเป็นโอกาสดี
“ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มีต้นทุนในสังคม ชื่อเสียง หรือเงินทอง ถ้าออกมาเป็นปากเป็นเสียง ช่วยน้อง ๆ ได้ก็ยินดี นี่เป็นความคิดเราและหลาย ๆ คน”
ก่อนที่พิธีกรจะทิ้งท้ายถามว่า กลัวเข้าคุก อีกไหม ? “เรื่องนี้ ก็คุยกับอานนท์ กับไผ่ ถ้าต้องเสียอิสรภาพอีกรอบ แต่รักษาอุดมการณ์ไว้ ผมก็ยินดีน้อมรับมัน”
ส่วนมาตรา 112 ที่ถูกหยิบยกมาพูดอีกครั้ง ว่าเห็นควรต้องสนับสนุนให้มีม.112 ต่อไป เพราะหากยังมีบุคคลที่กระทำการเช่นเดียวกับ “แอมมี่” ม.112 ก็ยังมีความจำเป็นอย่างมาก ในการปกป้องประมุขของประเทศ
โดยดร.อานนท์ ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อช่องดัง ถึงการใช้มาตรา 112 ซึ่งทางด้านพิธีกรได้เริ่มถามก่อนว่า อยากทราบความคิดของอาจารย์ ว่า 2 ฝ่าย จะอยู่ร่วมกันอย่างไรในสังคม เพราะเชื่อว่ายังไงวันหนึ่ง ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยน ด้านดร.อานนท์ ตอบว่า อยู่ได้ แต่อีกฝ่ายต้องอยู่ในคุก
ก่อนที่จะมีการถามถึง มาตรา 112 ว่าทำไมต้องมีกฎหมายข้อนี้ขึ้นมา ?
โดยทางดร.อานนท์ ก็ตอบพร้อมอธิบายด้วยว่า เป็นกฎหมายความมั่นคงธรรมดา ไม่ใช่แบบที่มีขบวนการ กฎหมาย 112 เป็นกฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ของคนในสังคม คนในสังคมก็มีหน้าที่และบทบาทที่แตกต่างกันออกไป คุ้มครององค์พระประมุขของชาติ ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ ไม่ให้ถูกทำลายชื่อเสียง แต่ 112 ของไทย ในความเห็นของผมต้องมีการปรับ เพราะมีการนำไปรวมกับการขู่อาฆาตหมาดร้าย คุ้มครองคนธรรมดา ถ้าผมขู่ฆ่าคุณ คุณก็ฟ้องผม เพราะฉะนั้น 112 ก็คุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดิน เหมือนกับคุ้มครองคนธรรมดา
ในแง่ของความผิด คือการหมิ่นประมาท กับเรื่องการขู่อาฆาตหมาดร้าย และกฎหมายพวกนี้ยังคุ้มครองไปถึงเจ้าหน้าที่ ทูต ต่างชาติที่มาเยือนเมืองไทย ศาลที่ปฏิบัติหน้าที่ และประชาชนทั่วไป แต่ว่าพระมหากษัตริย์ต้องได้รับการคุ้มครองที่มากกว่า เพราะอยู่ในฐานะประมุขของชาติ ความมั่นคงแห่งรัฐ หรือ รัฏฐาธิปัตย์ จำเป็นเหลือเกินที่จะได้รับความคุ้มครอง ปกป้อง ไม่เช่นน้ันบ้านเมืองอยู่ไม่ได้
และแน่นอนว่า เมื่อเน้นความมั่นคงแห่งรัฐ ซึ่งกฎหมายนี้มีอยู่ทั่วโลก แต่คนจะไปบิดเบือนยังไง ความจริงก็คือความจริง ศาลก็ต้องเข้าใจคำว่า สิทธิ เสรีภาพด้วยว่า หากมีมากเกินไป จะเป็นอันตราย จะทำให้เกิดภาวะที่ปกครองไม่ได้ จำเป็นอย่างมากที่ต้องมีการเพิ่มความคุ้มครองแก่พระเจ้าแผ่นดินในมาตรา 112
และเมื่อถามว่า คนที่ถามหาประโยชน์ของมาตรา 112 บอกว่าทำให้ตั้งคำถามบางเรื่องไม่ได้?
ดร.อานนท์ จึงตอบว่า ตั้งได้ ไม่ใช่ตั้งไม่ได้ แต่ต้องตั้งคำถามโดยสุจริต อย่าทำเหมือนที่สมศักดิ์ เจียม , ปวิน ที่ใส่ร้ายบิดเบือน โจมตีสถาบันที่ผ่านมา ไม่ต้องแค่ว่าทำกับพระเจ้าแผ่นดินหรอก แค่มาทำกับคุณ คุณก็ต้องฟ้องหมิ่นประมาทกลัย การวิจารณ์สถาบันฯทำได้ ขอให้ทำโดยสุจริตและหลักวิชาการ ด้วยความเคารพ และเป็นการติเพื่อก่อจริง ๆ
อย่างไรก็ตามการกระทำของนายแอมมี่ในครั้งนี้ อาจจะเข้าข่ายขู่อาฆาตหมาดร้าย ไม่ได้เป็นไปตามที่พวกม็อบ แกนนำ 3 นิ้ว พยายามจะบอกว่า ที่ออกมาเรียกร้อง คือทำเพราะอยากได้ประชาธิปไตย ซึ่งในแต่ละครั้ง เราจะเห็นการชุมนุมที่ทั้งจาบจ้วง ปราศรัยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีคดีของนายแอมมี่เข้ามา ยิ่งทำให้สังคมมองเห็นความจริงในม็อบมากขึ้น และการเคลื่อนไหวครั้งต่อ ๆ ไป มวลชนก็จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะไม่มีใครที่จะยอมรับกับพฤติกรรมของสามนิ้วได้อีกต่อไป