เปิดไทม์ไลน์ มือเผาพระบรมฉายาลักษณ์! พบกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง ส่งรายงานสำนักพระราชวังแล้ว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปร่วมประชุมที่มีว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายแพทย์วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.ภาณุเดช สุขวงศ์ รอง ผบก.น.2 ร่วมหารือ กรณีการวางเพลิงป้ายและทำลายทรัพย์สินบริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม
ล่าสุดทางด้าน ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เปิดเผยถึงกรณีการวางเพลิงเผาทรัพย์ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ว่า จากการสืบสวนของตำรวจร่วมกับกรมราชทัณฑ์ ตอนนี้ทราบว่ามีผู้ก่อเหตุ 3 ราย ชาย 2 หญิง 1 ใช้รถยนต์ในการก่อเหตุ ซึ่งตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อขอหมายศาลออกหมายจับ รวมถึงการสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นการขยายผล การตรวจสอบเส้นทาง จนได้ทราบว่าเกี่ยวกับกลุ่มการเมือง
ตอนนี้หากเราสาวถึงใครเราดำเนินคดีหมด เพราะเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำลายความรู้สึกของคนไทย สิ่งที่ทำเป็นโทษที่ร้ายแรงมากเพราะเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และมีโทษหนักถึงประหารชีวิตเพราะเป็นโรงเรือนและสมบัติของทางราชการ และตรงนี้เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้เกี่ยวกับการชุมนุม และการที่เจตนาเผาพระบรมฉายาลักษณ์เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ตามมาตรา 112 มีโทษจำคุก 3-15 ปี รวมถึงการบุกรุกสถานที่ราชการ มีโทษจำคุก 5 ปี และยังมีเรื่องของความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรื่องการแชร์ภาพอันมิบังควร มีโทษจำคุก 5 ปี รวมแล้วตอนนี้มี 4 ข้อหาหนักซึ่งโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ซึ่งทางนายสมศักดิ์ได้เร่งรัดให้นำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ภายใน 7 วัน
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวอีกว่า จากไทม์ไลน์ที่ทาง ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ได้สืบสวนและตรวจหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่เกิดเหตุ พบว่า จากการตรวจสอบของกล้องวงจรปิด กทม. เวลา 02.46 น. พบรถคนร้ายวิ่งผ่านร้านแกรนด์โฮม ใต้สะพานข้ามแยกพงษ์เพชร งามวงศ์วาน 35 จากนั้นเวลา 02.49 น. จากกล้องของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ พบรถคนร้ายวิ่งผ่านหน้าสำนักงาน ฝั่งถนนงามวงศ์วานขาออก วิ่งผ่านประตูเรือนจำกลางคลองเปรม และเวลา 02.50 น. จากกล้องมุมสูงของการไฟฟ้าฯ พบรถคนร้ายจอดริมถนนเลยจุดเกิดเหตุประมาณ 50 เมตร เวลา 02.55 น. พบรถคนร้ายถอยกลับมาห่างจากจุดเกิดเหตุ 20 เมตร จนกระทั่งเวลา 03.08 น. พบว่าไฟเริ่มติดตรงจุดเกิดเหตุ และอีก 1 นาทีต่อมา คนร้ายได้ขับออกไปเพื่อหลบหนี
ทั้งนี้ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต ยังกล่าวต่อไปว่า “เรื่องนี้เป็นการเตรียมการมาอย่างแน่นอน เพราะในที่เกิดเหตุพบไฟแช๊ก น้ำมัน เตรียมมาจุดไฟเผา และใช้เวลาในช่วงเช้ามืดของวันที่ 28 ก.พ. 2564 ใช้เวลาก่อเหตุประมาณ 10 นาที และหนีทันที และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางกรมราชทัณฑ์ได้ทำรายงานถึงสำนักพระราชวัง เพราะเวลาที่เรานำพระบรมฉายาลักษณ์มาใช้เราต้องขออนุญาตจากทางราชวัง ซึ่งหากถูกเผาทำลายเราก็ต้องรายงานให้ทราบ ทั้งนี้ปกติภายในเรือนจำมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว ซึ่งที่เกิดเหตุติดถนนที่ประชาชนใช้สัญจรไปมาตามปกติ ตอนนี้อธิบดีได้ใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด มีเวรยามตลอดเวลา และจุดใดที่มีความละเอียดอ่อนก็ได้สั่งให้ดูแลเข้มข้นขึ้นในทุกเรือนจำ”
สำหรับคดีนี้ ทางกรมราชทัณฑ์ไปแจ้งความเอาผิดผู้กระทำผิดแล้ว และตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยให้ผู้ตรวจกรมราชทัณฑ์เป็นประธาน และเพิ่มกำลังจากหน่วยงานพิเศษร่วมปฏิบัติหน้าที่รักษาการณ์บริเวณภายนอกเรือนจำ
โดยทาง กรมราชทัณฑ์จึงได้ประสานไปยังสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น ได้ติดตามจากกล้องวงจรปิดพบรถ MPV สีขาว เป็นรถเพียงคันเดียวในเวลาดังกล่าว พบผู้ต้องสงสัย 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 โดยการตามจากกล้องวงจรปิดไปจนถึงที่พัก และพบว่ามีความเชื่อมโยงทางการเมือง เวลานี้อยู่ระหว่างพิสูจน์หลักฐานให้ชัดเจน รวมถึงเช็ก database มือถือเพื่อค้นเบอร์โทร.ว่า ผู้ลงมือนั้นติดต่อกับใครได้บ้าง โดยในกรณีนี้ตำรวจได้ยืนยันจะทำคดีให้จบโดยเร็วที่สุด และคาดว่าจะไม่เกิน 7 วัน
ขณะทางด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการติดตามกรณีคนร้ายวางเพลิงป้ายและทำลายทรัพย์สิน บริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมว่า หลังจากที่กรมราชทัณฑ์ไปแจ้งความเอาผิดกับผู้กระทำผิดและตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ทางตำรวจได้เก็บหลักฐาน ภาพกล้องวงจรปิดของเรือนจำ ที่สามารถจับภาพคนร้ายได้ มีผู้ต้องสงสัย 3 คนเป็น ชาย 2 หญิง 1 โดยการตามภาพจากกล้องวงจรปิดไปจนถึงที่พักและพบว่ามีความเชื่อมโยงทางการเมือง ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมหลังจากที่ได้ทราบถึงกลุ่มบุคคลที่ลงมือก่อเหตุวางเพลิง ตนจึงได้สั่งการให้คณะทำงานเฉพาะกิจชื่อว่า คณะทำงานพาลีปราบยาของกระทรวงยุติธรรม ช่วยทำการสืบสวนเชิงลึกในกรณีดังกล่าว ถือว่าเป็นข้อหาหนัก เราต้องนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างโดยเร็ว