ทุกวันนี้สงครามความขัดแย้งเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมศาสนา เดินหน้าตึงเครียดในฝรั่งเศสต่อเนื่อง และฮือฮากันทั่วโลกเมื่อ ปธน.มาครงแห่งฝรั่งเศสเปิดฉากลุยตรวจสอบมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ชี้ว่าเป็นแหล่งต้นตอเผยแพร่แนวคิดซ้ายจัด เรื่องการเหยียดผิว ซึ่งสนับสนุนการก่อการร้ายของกลุ่มอิสลามสุดโต่ง ที่สำคัญแพร่จากสหรัฐอเมริกา บรรดานักวิเคราะห์มีมุมมองแตกต่างกันไป แต่มันสะท้อนสถานการณ์ความรุนแรงซ่อนเร้นในสังคมฝรั่งเศสที่รอวันปะทุใหญ่ เหมือนในอีกหลายๆแห่งทั่วโลก ประเทศไทยก็ไม่เว้น ที่พบว่าแกนนำการต่อต้านรัฐบาล ต่อต้านสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัติรย์ มีจุดเริ่มที่มหาวิทยาลัย ขยายสู่โรงเรียน และชุมชน เรื่องนี้รัฐบาลจะทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เห็นจะไม่ได้ ถ้าไม่ทำอะไรจริงจังวันนี้ มีโอกาสสิ้นชาติ
มาศึกษาบทเรียนของฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคมคู่แข่งของอังกฤษ ที่ล่ามาแล้วทั่วโลกกันว่า วันนี้เขาจัดการปัญหาภายในประเทศตนเองอย่างไร? ภายใต้ความซับซ้อนอ่อนไหวของความเชื่อและวัฒนธรรมศาสนา ที่ถูกปลุกเร้าให้เกิดความขัดแย้ง หรือมันมีรากเหง้าที่ขัดแย้งอยู่ในตัวมันเองกันแน่
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 สำนักข่าว The New York Times และสื่อต่างประเทศหลายฉบับ รายงานว่า รัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของประธานาธิบดี แอมานุแอล มาครง (Emmanuel Macron) ได้ประกาศต่อสื่อมวลชนว่า รัฐบาลจะมีการปฏิบัติการณ์เชิงรุก ในการสืบสวนสอบสวนมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ หลังรัฐบาลสืบทราบว่า มีการเผยแพร่แนวคิดทางการเมืองแบบสุดโต่ง จากภายในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อประเทศฝรั่งเศส
การออกประกาศจากรัฐบาลฝรั่งเศส สร้างความไม่พอใจให้แก่นักวิชาการ อาจารย์ และอธิการมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ซึ่งกลุ่มบุคลากรในมหาวิทยาลัยทั่วฝรั่งเศสต่างก็มีความวิตกกังวลว่า ท่าทีเช่นนี้ของรัฐบาลฝรั่งเศส อาจจะนำไปสู่การลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ (academic freedom) แต่ทางฝั่งของประธานาธิบดีมาครง และนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ต่างก็ระบุว่า มหาวิทยาลัยหลายแห่งในฝรั่งเศส มีการเผยแพร่แนวคิดทางการเมืองแบบสุดโต่ง ซึ่งเป็นแนวคิดที่เผยแพร่หรือ “นำเข้า” มาจากกลุ่มมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ
แนวคิดทางการเมืองแบบสุดโต่งที่ทางฝั่งรัฐบาลฝรั่งเศสกล่าวมานั้น เป็นแนวคิดแบบ “ซ้ายใหม่” ที่มาพร้อมกับแนวคิดสนับสนุนลัทธิศาสนาอิสลามแบบสุดโต่ง ซึ่งสำนักข่าว The New York Times ได้รายงานคำให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดีมาครงเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยกล่าวว่า “แนวคิดทั้งหลายเหล่านี้ ถูกนำเข้ามาจากสหรัฐฯ ซึ่งพยายามทำเรื่องสังคมให้กลายเป็นเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อแบ่งแยกสาธารณรัฐฝรั่งเศส ให้กลายเป็นสอง”
เช่นเดียวกับนายณอง-มิเชล บล็องเกอร์ (Jean-Michel Blanquer) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศส ก็กล่าวโจมตีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในฝรั่งเศสว่า ไปร่วมสมคบคิดกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายอิสลามสุดโต่ง และคอยหาเหตุผลแก้ต่างให้กับผู้ก่อการร้าย ในขณะที่สมาชิกสภาฝ่ายรัฐบาลได้เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐสภา ให้มีการสืบสวนสอบสวนมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จนนำมาสู่การประกาศแสดงท่าทีในครั้งนี้ ซึ่งเป็นท่าทีที่แข็งกร้าวจากรัฐบาลมาครง ที่ประกาศว่าจะมีการสืบสวนสอบสวนมหาวิทยาลัยทั่วประเทศฝรั่งเศส
ทั้งนี้ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล และนักคิดนักเขียนฝรั่งเศส ต่างก็มองว่า แนวคิด “ซ้ายใหม่” ที่เผยแพร่จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ มาสู่มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศสนั้น ทำลายความสามัคคีของคนในชาติ (national unity) ผลักดันกระแสวัฒนธรรมการคว่ำบาตร (cancel culture) อันจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อมรดกทางวัฒนธรรม (cultural heritage) อีกทั้งยังส่งเสริมลัทธิศาสนาอิสลามแบบสุดโต่ง และสนับสนุนให้เกิดการแบ่งแยกดินแดน (secessionism) ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่อันตรายอย่างมากสำหรับฝรั่งเศส
ข่าวการสอบสวนทำให้เกิดการปะทะตอบโต้กันอย่างดุเดือดในหมู่ประธานมหาวิทยาลัยและนักวิชาการ ทำให้เกิดความหวาดหวั่นอย่างยิ่งต่อการปราบปรามเสรีภาพทางวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาเกี่ยวกับเชื้อชาติ เพศสภาพการศึกษาหลังอาณานิคม และสาขาอื่น ๆ ที่รัฐบาลฝรั่งเศสระบุว่านำเข้าจามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯและมีส่วนในการบ่อนทำลายสังคมฝรั่งเศส
ก่อนหน้านี้สภาผู้แทนราษฏรฝรั่งเศส ได้ผ่านร่างกฎหมายเข้มงวดกับศาสนาอิสลาม ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร เพราะมีมุมมองและข้อสรุปว่าสนับสนุนการโจมตีของผู้ก่อการร้าย ในขณะที่นายมาครง แสดงจุดยืนโน้มเอียงไปทางปีกขวา หรืออนุรักษ์มากขึ้น นี่อาจเป็นเพียงเกมการเมืองหาความนิยมจากฝั่งปีกขวา ชาตินิยมก่อนการเลือกตั้งปีหน้าก็เป็นได้?
เฟรดเดอริก ไวดัล (Frédérique Vidal) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาระดับอุดมศึกษากล่าวในรัฐสภาเมื่อวันอังคารที่ 16 ก.พ.2564 ว่า ศูนย์การวิจัยทางวิทยาศาสตรฺแห่งชาติดำเนินการโดยรัฐ จะเป็นผู้ดูแลการสอบสวนเกี่ยวกับ “การวิจัยทั้งหมดที่กำลังดำเนินอยู่ในประเทศของเรา ” โดยแยกออกจากหัวข้อ ลัทธิต่างๆหลังอาณานิคม
โคลเอ โมริน (Chloé Morin) ผู้เชี่ยวชาญด้านความคิดเห็นสาธารณะของฟาวเดชั่นฌองเชอเร (Fondation Jean-Jaurès) ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยในปารีสกล่าวว่าฐานทางการเมืองของมาครง ได้เปลี่ยนไปทางกลุ่มขวา ชาตินิยมโดยสิ้นเชิงแล้ว และการที่รัฐมนตรีของเขาใช้คำว่า อิสลามโมเลฟทิสซึม (Islamo-leftism) กลายเป็นคำศัพท์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแข่งขันกับคู่ต่อสู้ทางการเมืองของเขา
มาร์ โมฮัมเหม็ดนักสังคมวิทยาฝรั่งเศสและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัญหาโรคกลัวอิสลาม (Islamophobia) กล่าวว่านักการเมืองปากสุนัขมักใช้คำว่า “แดนเถื่อน” หรือ “ลัทธิอิสลามซ้ายสุดโต่ง” เพื่อผลการเลือกตั้ง
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกลัวอิสลาม (Islamophobia) ตรวจสอบว่าความเป็นปรปักษ์ต่ออิสลามซึ่งมีรากฐานมาจากประสบการณ์ในการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสต่อชาวมุสลิมในอดีต นักวิจารณ์กล่าวว่าฝรั่งเศสยุคนี้คือผลผลิตของการเมืองอัตเชิงลักษณ์แบบอเมริกันที่หลงตัวเองและหาแพะรับบาปความผิดทุกชนิด
นายทากิฟ (Taguieff) นักวิจารณ์ชั้นนำของมหาวิทยาลัยในอเมริกากล่าวในอีเมลล่าสุดว่า โรคกลัวอิสลาม (Islamophobia) ก็เป็นเช่นเดียวกับ ” การนำเข้าแนวคิดบิดเบือนทั้งหมด” ที่ส่งออกไปยังฝรั่งเศสเหมือนกับประเด็นเรื่องตั้งคำถามเกี่ยวกับการเหยียดผิวดำในอเมริกา “American black question” ที่พยายามสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “การเหยียดเชื้อชาติศาสนาในระบบ” ‘ และส่งไปกระตุ้นเร้าในประเทศฝรั่งเศส ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง แบ่งแยกความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของสังคม