การทำผิดกฎหมาย ครั้งแล้วครั้งเล่าของธนาธร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบมาถึงวันนี้ครบ1ปี นอกจากยังไม่มีความสำนึกแล้ว ยังอวดอ้างอุดมการณ์ที่เพ้อฝัน ราวกับว่าผู้คนในประเทศนี้เป็นเด็กไร้เดียงสา ซึ่งเรื่องนี้คงต้อจับตาดูกันต่อไปกับบทบาทของพรรคก้าวไกลที่เป็นตัวแทนสืบทอดความคิดธนาธรในการเดินเกมการเมืองในสภาฯ
โดยเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กระบุครบรอบ 1 ปียุบพรรคอนาคตใหม่ – ความในใจจากวันนั้นถึงวันนี้ ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
“ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังมากนัก แม้แต่คนใกล้ชิด ถึงความรู้สึกส่วนตัวจากกรณีถูกยุบพรรค เหตุผลหนึ่งคือในฐานะผู้นำ ผมรู้สึกว่าผมจะแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นไม่ได้ กลัวว่าทั้งทีมงาน ในส่วนกลางและในจังหวัดต่างๆ, ผู้สนับสนุน และเพื่อน ส.ส. จะหมดกำลังใจ
วันนั้น ผมมีความเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ ว่าการผลักดันวาระประชาธิปไตยผ่านระบบรัฐสภาจะอ่อนแอลง ผมเป็นห่วงเพื่อน ส.ส. อนาคตใหม่ที่ย้ายไปพรรคก้าวไกลว่าพวกเขาจะยืนได้หรือไม่ท่ามกลางกระแสการเมืองที่โหดเหี้ยมต่อฝ่ายประชาธิปไตย
ในระยะยาวหากพรรคใหม่ไม่สามารถยืนหยัดได้ แปลว่าพวกเราแพ้ย่อยยับ เราตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา เพื่อหวังใช้ช่องทางรัฐสภา หาทางออกให้กับประเทศ เมื่อเราถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ผมก็กลัวว่าพรรคก้าวไกลจะไม่หนักแน่นพอที่จะยืนยันในวาระสำคัญๆ ของชาติ กลัวว่าแรงเสียดทานจากสังคม แรงกดดันจากอำนาจเผด็จการ จะทำลายอุดมการณ์อนาคตใหม่ กลัวว่าพวกเขาจะทิ้งอุดมการณ์ไประหว่างทาง
หนึ่งปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะมีทีมงานและเพื่อน ส.ส. กลุ่มหนึ่ง ตัดสินใจไม่เดินทางไปกับพรรคก้าวไกลต่อ ซึ่งผมเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะปัญหาความขัดแย้งทางความคิดและการปฏิบัติการภายในพรรค, แรงกดดันทางสังคมที่รุนแรง หรือผลประโยชน์ที่หอมหวาน
แต่ ส.ส. ส่วนใหญ่ที่เหลือยังหนักแน่นกับอุดมการณ์อนาคตใหม่ และได้แสดงให้สังคมเห็นถึงความหนักแน่นนี้ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
วันนี้ ผมไม่มีบทบาททางการเมืองในระบบแล้ว แต่ผมไม่เคยเสียใจเลยที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา เราทุกคนล้วนเป็นอิฐก้อนต่อไปของการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เท่าเทียมเสมอภาค ผมก็เป็นเพียงอิฐอีกก้อนให้คนที่เดินข้างหลังก้าวต่อไปถึงจุดหมาย
วันครบหนึ่งปีของการยุบพรรคอนาคตใหม่ ตรงพอดีกับการจบลงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การทำงานของพรรคก้าวไกลที่ผ่านมา โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ ทำให้ผมหมดห่วง ผมเฝ้าติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพวกเขาอย่างชื่นชม
พวกเขาทำได้ดีมาก พรรคก้าวไกลแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีวิสัยทัศน์ กล้าหาญและหนักแน่น ไม่แพ้อนาคตใหม่เลย วันนี้จึงเป็นวันที่ผมรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ต้องแบกอะไรไว้บนหลังมากมายเหมือนก่อน พวกเขามั่นคง แข็งแกร่ง และเดินต่อไปได้อย่างสง่างาม
ผมสบายใจและมั่นใจว่าอย่างน้อยในสภา ก็ยังมีพรรคการเมืองที่พร้อมจะยืนอย่างมั่นคงในหลักการประชาธิปไตย กล้าหาญพอที่จะยืนบนผลประโยชน์ของประชาชน เพื่ออนาคตของประเทศ หมดหน้าที่ของผมในสภาแล้ว พวกเขาถือคบไฟ วิ่งไปต่ออย่างมั่นคง
ผมต้องกล่าวเป็นพิเศษถึงคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เขาเป็นคนที่ถูกกดดันและถูกคาดหวังมากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โบราณกล่าวไว้ว่า หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน พิธาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เขากล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาใจกลางการเมืองไทยอย่างมีวุฒิภาวะ เขามีความเป็นผู้นำและมีไหวพริบ ไม่เพียงแค่จะนำพรรคก้าวไกล แต่จะนำประเทศไทยในอนาคต
วันนี้ ผมเผชิญหน้ากับวันครบรอบ 1 ปีการยุบพรรคอนาคตใหม่อย่างสงบ ไม่มีความรู้สึกโกรธหรือเคียดแค้นที่ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม เพราะรู้ว่าพวกเขาทำไม่สำเร็จ พวกเขายุบอุดมการณ์ไม่ได้ ผมไม่มีความรู้สึกรุ่มร้อน เป็นห่วงการเมืองในสภาเหมือนเดิม เพราะก้าวไกลได้ยืนอย่างสง่าผ่าเผยให้สังคมเห็นแล้ว
ต่อจากนี้ไป ผมจะยังทำงานการเมืองต่อไปเช่นเดิม และขอยืนเคียงข้างพรรคก้าวไกล ในวันที่เขาต้องการคำปรึกษาหรือกำลังใจ ผมขอยืนข้างหลังพวกเขาร่วมกับประชาชน ในวันที่พวกเขาต้องการการสนับสนุน และจะยืนข้างหน้าพวกเขา เมื่อพวกเขาเผชิญภัยอันตราย
ขอให้ทุกคนเดินหน้าอย่างกล้าหาญ ประชาชนจะปกป้องคุณเอง ห่วงสุดท้ายที่ยังติดในใจ คือความเป็นห่วงต่อเพื่อนกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ขอบคุณที่ตัดสินใจเดินร่วมทางกันวันนั้น แม้เป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับทุกคน และขอโทษที่ทุกคนต้องคดีความไปด้วย สิ่งนี้ยังเป็นห่วง ที่ยังติดในใจผมถึงทุกวันนี้
ในวาระครบรอบ 1 ปียุบพรรคอนาคตใหม่นี้ ผมขอขอบคุณผู้ร่วมจดจัดตั้งพรรค, สมาชิกพรรค, ผู้สนับสนุน และผู้ออกเสียงลงคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่ทุกคนอีกครั้ง”
ทั้งนี้หากย้อนไปเมื่อ วันที่ 21 ก.พ. 2563 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงิน 191.2 ล้านบาท
ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการพิจารณาเป็นระยะเวลารวม 71 วัน มีการประชุมปรึกษาหารือตลอดมารวม 11 ครั้ง องค์ประชุมตุลาการพิจารณาคดีโดยละเอียดถี่ถ้วน ให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้กระทำการโดยเร่งรัดหรือรวบรัด โดยเงินที่พรรคการเมืองนำมาใช้จ่ายซึ่งไม่ได้มีแหล่งที่มาตามที่กำหนด เป็นเงินที่ได้มาด้วยมิชอบ แม้ไม่ได้กำหนดเรื่องการกู้ยืมชัดเจน
แม้ไม่เป็นรายได้ แต่เป็นรายรับทางการเมือง ต้องกระทำได้ภายในขอบเขตที่กำหนดไว้เท่านั้น ต้องสอดคล้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ยหรือไม่ปกติทางการค้า หรือทำให้หนี้พรรคการเมืองลดลง ถือเป็นผลประโยชน์อื่นใด ตามมาตรา 4 คำว่าบริจาคมีความหมายเฉพาะในกฎหมายนี้ ที่ต้องการควบคุมการสนับสนุนให้เป็นไปโดยพอเหมาะพอควรตามกฎหมาย ป้องกันไม่ให้ใครครอบงำพรรคการเมืองแต่เพียงผู้เดียวหรือกลุ่มเดียว เงินบริจาค
การทำสัญญากู้ยืม 2 ฉบับ 191.2 ล้าน แต่การคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใด มีพฤติการณ์ในการเอื้อประโยชน์หรือการช่วยเป็นพิเศษ ถือเป็นการรับบริจาคเงินเกิน 10 ล้านบาทต่อปี ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 66 วรรคสอง และยังเห็นว่า นายธนาธร ให้กู้เป็นการบริจาคเงิน ให้กู้ยืมเป็นจำนวนมาก กรรมการบริหารควรจะรู้ว่าการเป็นหนี้จำนวนมากจะกลายเป็นการถูกครอบงำ เกิดความได้เปรียบทางการเงินมาเป็นผู้บงการพรรค การกู้ยืมของพรรค มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการบริจาค มีหลักฐานควรเชื่อได้ว่าฝ่าฝืนมาตรา 72 เป็นเหตุให้ยุบพรรค
อย่างไรก็ตามจากคำพูดของนายธนาธร ในวันครบรอบหนึ่งปียุบพรรคอนาคตใหม่ ที่บอกว่า จะออกมายืนข้างหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อพรรคก้าวไกลเผชิญภัยอันตราย ซึ่งคำพูดลักษณะนี้เคยปรากฏมาแล้วจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี2552 ในวันนั้นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน ชุมนุมเปิดปฏิบัติการโค่นอำมาตย์ โดยนายทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์มาปลุกระดมม็อบเกือบทุกคืน และมีประโยคที่ตามหลอนมาจนถึงทุกวันนี้ว่า
“ถ้าเมื่อไหร่ เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไปนำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพทันที” นี่เป็นคำพูดของนายทักษิณ ที่กล่าวผ่านระบบวิดีโอลิงค์ ขึ้นจอภาพ บนเวทีการชุมนุม นชป.แดงทั้งแผ่นดิน บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 30 มีนาคม2552 ซึ่งในวันนั้นเมื่อมีการเข้ากระชับพื้นที่ ผู้ชุมนุมแตกกระจาย แกนนำถูกจับกุม ก็ไม่ปรกฏว่านายทักษิณ จะกลับมาเดินนำหน้าม็อบแต่อย่างใด กระทั่งนปช.ชุมนุมอีกหลายครั้งก็ยังไม่เห็นอดีตนายกฯกลับมาให้เห็นแม้แต่เงา???