สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ(US Census Bureau’s Household Pulse Survey )เปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ 14 ก.ย.2564ว่าชาวอเมริกันประมาณ 11.4% หรือประมาณ 37.2 ล้านคน อาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 10.5% ในปีก่อนหน้า รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยลดลง 2.9% มาอยู่ที่ 67,521 ดอลลาร์ต่อปี ถือเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2554 หรือคือในรอบทศวรรษ
ในอดีตที่ผ่านมา ตัวเลขความยากจนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งรวมถึงช่วง 3 ปีแรกของการบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ทศวรรษของการเก็บสถิติในปี 2019 แต่ฐานะเศรษฐกิจของสหรัฐฯกลับลดลงเมื่อมีการปิดกิจการของภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพราะการล็อกดาวน์ เพื่อชะลอการแพร่กระจายของ Covid-19
ในช่วงเวลาเพียงสี่สัปดาห์ในเดือนมีนาคมและเมษายน 2020 ชาวอเมริกันประมาณ 26 ล้านคนต้องตกงาน งาน 22 ล้านตำแหน่งที่สร้างขึ้นตั้งแต่การล่มสลายทางเศรษฐกิจในปี 2550-2552 สูญไปในพริบตา สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากร ระบุว่าตลอดปีที่แล้วจำนวนคนงานเต็มเวลาลดลงประมาณ 13.7 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
เกณฑ์ความยากจนโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4 คนในปีที่แล้วคือรายได้ต่อปีที่ 26,496 ดอลลาร์ ประมาณ 14.8% ของครอบครัวชาวอเมริกันที่มีลูก หรือ 5.6 ล้านครัวเรือน มีความไม่มั่นคงด้านอาหารในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 13.6% ในปีก่อนหน้าคือ 2019
อย่างไรก็ตาม สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อมีการรวมเอกสารประกอบคำบรรยายของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ Covid-19 และชดเชยการว่างงานเพิ่มเติม ทำให้ชาวอเมริกันที่มีฐานะยากจนมีจำนวนน้อยลง จาก 11.7% ในปี 2019 ลดลงเหลือ 9.1% ในปี 2020
ในความเป็นจริง เศรษฐกิจของคนอเมริกันที่พึ่งพาการช่วยเหลือจากรัฐบาลในปีที่แล้ว เป็นการช่วยเหลือที่ต่ำกว่าอัตราความยากจนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยปกติแล้วจะสูงกว่ามาตรฐานความยากจน
เนื่องด้วยรัฐบาลกลางจ่ายเงินให้ผู้คนหลายล้านคนให้อยู่บ้านในปี 2020 นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศจนถึงปี 2020 วอชิงตันมีหนี้สะสมอยู่ที่ 22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และล่าสุดรมว.คลัง เจเน็ต เยลเลนได้ขอให้รัฐบาลสหรัฐกู้เพิ่มวงเงินใหม่น่าจะอยู่ที่ 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายถึงเพดานหนี้ของสหรัฐทะลุGDP กันไปเกินร้อยเปอร์เซนต์แล้ว
และขณะนี้ เงินชดเชยการว่างงานและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้หมดลงแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีงานไม่ถึง 5.3 ล้านตำแหน่งก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ เมื่อเกิดวิกฤตการระบาดใหญ่โควิด-19 อัตราการว่างงานพุ่งไม่หยุด แม้ปัจจุบันตัวเลขการว่างงานจะคลี่คลายแต่ยังคงสภาพซบเซาต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนส.ค.จนถึงปัจจุบัน ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของฝ่ายบริหารไบเด็น
อีกเรื่องหนึ่งที่ซ้ำเติมปัญหาความยากจนในสหรัฐคือ การที่คนมีรายได้ระดับกลางจะกลายเป็นคนไร้บ้าน เพราะเศรษฐกิจชะลอตัวไม่มีกำลังใช้หนี้ค้างค่าเช่าเก่า และไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าใหม่ โดยที่มาตรการช่วยพักหนี้ค่าเช่าหมดอายุลงในเดือนก.ค. และต่ออายุมาได้ถึง 31 ก.ย.นี้เท่านั้น
การสำรวจชีพจรครัวเรือนของสำนักสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐ (US Census Bureau’s Household Pulse Survey ) ระบุว่าประชาชนราว 3.6 ล้านคนต้องเผชิญกับการถูกไล่ออกจากบ้านอีก 1 เดือนข้างหน้า
สถานการณ์คือ คนอเมริกันจำนวนมากต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางหรือจากรัฐอย่างจริงใจในช่วงวิกฤต แต่คนจำนวนมากก็ออกไปใช้เงินอุดหนุนเป็นประวัติการณ์ในค่าใช้จ่ายด้านรถยนต์ ของใช้ส่วนตัว ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ
เจ้าของบ้านเช่าต้องการให้ผู้เช่าชำระค่าใช้จ่าย เพราะพวกเขาก็ต้องผ่อนค่าทรัพย์สินของตนเอง? ความจริงคือผู้เช่าจำนวนมากไม่ได้จ่ายค่าเช่าใน 18 เดือนแม้จะได้รับเช็คจากรัฐบาลกลาง และเงินชดเชยการว่างงานรายเดือนเพิ่มเติม บริษัทสาธารณูปโภคยังถูกห้ามไม่ให้ปิดไฟฟ้าและน้ำเนื่องจากไม่ชำระเงิน และใกล้ถึงเวลาที่หน่วยบริการสาธารณูปโภคเอกชนจะปิดสวิทเพราะ ผู้คนไม่สามารถจ่ายค่าน้ำค่าไฟฟ้าได้