เจ๊เจี๊ยบโพสต์สุมหัวส.ส.ก้าวไกล แซะลุงตู่-เต่าเดินหนี ก่อนนั่งขำหน้าระรื่น ไม่สนปธ.ชวนสอนมารยาท

6888

จากกรณีที่วานนี้ (18 ก.พ. 2564) มีรายงานว่าในระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงหลังการอภิปรายของ นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เรื่องปมปัญหาการเอื้อนายทุนโครงการเขตเศรษฐกิจจนะ

 

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงในตอนหนึ่ง ว่า เท่าที่ฟังมันพันกันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดซื้อที่ดิน การทำธุรกรรม รวมถึงความไม่ชอบธรรมต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ดำเนินการตรวจสอบอยู่แล้ว เรื่องนโยบายถ้าพูดไปพูดมามันจะกลายเป็นทุกอย่างที่ทำหากมีเหตุการณ์น่าสงสัย โครงการใหญ่ ๆ มันจะล้มหมด คงไม่ใช่ ดังนี้ต้องแยกแยะออกจากกัน สิ่งใดทำถูกหรือทำไม่ถูก เราจะต้องพัฒนาประเทศของเรา ท่านทราบดีอยู่แล้วว่ามีรายได้อยู่ร้อยล้านบาท รัฐบาลมีความคิดอย่างเดียวว่าไม่ว่าที่ใดก็ตาม รายได้ 100 ล้านบาทจะมีหนทางใดที่จะเพิ่มเป็นพันล้านบาทให้กับประชาชน หรือหมื่นล้านบาทแสนล้านบาทในอนาคตในพื้นที่ที่มีศักยภาพ แต่ในส่วนของเรื่องที่จะไปซื้อที่ดินเป็นเรื่องที่ทำได้ตามกฎหมาย แต่จะถูกผิดหรือถูกไปตรวจสอบกัน ไม่ใช่มาพันว่าโครงการนี้เอื้อประโยชน์ให้คนนี้ ตนว่าไม่ใช่เพราะตนไม่ใช่คนเอื้อประโยชน์ให้ใคร แต่ใครได้ประโยชน์ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไปว่ามา ตนไม่เกี่ยวในเรื่องนั้น

จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาทับซ้อนหลายมิติด้วยกันทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะพื้นที่ ดังนั้น ต้องแก้ปัญหาอย่างละเอียดอ่อน เราจึงมีนโยบายในเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ของเดิมมีอยู่ 3 จังหวัดและพื้นที่ที่ 4 คือ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งกำลังมีปัญหาอยู่ขณะนี้ และรัฐบาลได้จัดคณะกรรมการลงไปดูแลเพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดความเรียบร้อย

สิ่งที่เราต้องการคือจะทำอย่างไรให้ศักยภาพมันเกิดขึ้นในประเทศ เรามีทรัพยากรที่อาจดูมากบ้างน้อยบ้าง ทำอย่างไรจะใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีมูลค่าขึ้นมาเกิดประโยชน์กับประชาชนทุกพื้นที่และทุกภาค ซึ่งการให้คนมาลงทุน สิ่งสำคัญที่สุดคือโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน ไฟฟ้า พลังงาน ซึ่งมีการดำเนินการเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีความพร้อมแล้วเขาจะเลือกมาลงทุน เช่นเดียวกับพื้นที่ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ถ้ามีความพร้อมทุกอย่างเขาก็พร้อมจะมา แม้จะมีที่ดินแต่ถ้าไม่พร้อมเขาก็ไม่มา การลงทุนก็ต้องทำให้โปร่งใส ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย

การเปลี่ยนสีต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องของประชาพิจารณ์ ตนพูดในนามนายกรัฐมนตรี ตนสั่งแบบนี้ทุกครั้ง ไม่เคยละเว้น การถูกตรวจสอบไม่ตรวจสอบมีกลไกอยู่แล้ว สามารถร้องทุกข์ กล่าวโทษ แจ้งองค์กรอิสระตรวจสอบ การมาบอกว่าผิดถูกในนี้ไม่ใช่ศาล ศาลอยู่ข้างนอก ท่านพูดได้ทุกอย่างแต่ทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากเราไม่ทำอะไรเลยก็จะอยู่แบบนี้ มีรายได้ร้อยล้านต่อปีไปเรื่อย ๆ ประชาชนจะอยู่ไหวไหมเมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป ต้องหาวิธีทำให้ได้ แต่ต้องโปร่งใส ตนไม่อยากให้การพูดทำให้เกิดผลกระทบต่อการลงทุน หากไม่เข้าใจจะไปกันใหญ่ เราต้องเร่งพัฒนาประเทศ ถ้าทุกอย่างอยู่ที่เดิม ไม่มีทางไปได้ มีแต่ถอยหลัง ของใหม่อาจจะมีปัญหาก็แก้ไป ทุจริตตรงไหนก็แก้ไป แต่อย่าทำให้โครงการขนาดใหญ่ที่เริ่มและกำหนดยุทธศาสตร์ไปแล้วพังพินาศ

ทั้งนี้ มีรายงานว่าในระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังชี้แจง มี ส.ส.ฝ่ายค้านจับกลุ่มหัวเราะไม่ได้สนใจฟัง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และกล่าวตัดบทว่า “ผมคงตอบแค่นี้ดีกว่าเพราะตอบไปก็ไม่ค่อยมีคนฟัง หัวเราะกันอยู่ พอแล้วครับ” พร้อมกับเดินออกจากห้องประชุมไปทันที

ด้าน นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสรรค์ ลุกประท้วงว่า ภายในห้องประชุมสภาเมื่อเข้ามาแล้วต้องมีมารยาท ต้องมีระเบียบวินัย ไม่ใช่เข้ามาแล้วยืนหัวเราะผู้นำประเทศกำลังชี้แจงและต้องให้เกียรติผู้นำประเทศด้วย ไม่มีมารยาทเลย ประธานต้องควบคุมการประชุม

ซึ่งหลังจากนั้นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประในที่ประชุม กล่าวว่า “คุมความเรียบร้อยได้ แต่คุมมารยาทยากครับ”

ต่อมา กลายเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของความเหมาะสมอีกแล้ว สำหรับ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ล่าสุดมีการโพสต์ภาพในเฟซบุ๊ก ขณะกำลังหัวเราะกับ ส.ส.ก้าวไกล พร้อมแคปชั่นว่า “ขำจนเต่าเดินหนี” จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากคนในโซเชียลฯ และถามถึงมารยาทในที่ประชุม

เช่น บางคนบอกว่า คงหมดอนาคตในสภาแล้วหละสำหรับผู้หญิงคนนี้และส.ส.พรรคนี้ จริยธรรมการเป็นส.ส.ก็ห่วยแตกบอกตามตรงเปลืองเงินเดือนแผ่นดินจริง ๆ , ทำไมต้องมาหัวเราะตอนนายกพูดเรื่อง เขตเศรษฐกิจภาคใต้ หรือเพราะพรรคคุณไม่ได้ สส.จากภาคนี้ คุณเลยทำเหมือนไม่สนใจฟัง, ที่ท่านเดินออกหนีไปเพราะทนดูความทุเรศ​และไร้สาระ​ในการอภิปรายแบบ​ปัญญาอ่อน​ ของแกไม่ไหว​ เลยไม่อยากไปต่อความกับสิ่งที่ไม่มีสาระ​ เป็นต้น