มวลชน2ฝ่ายตีกันเละ! “รังสิมันต์” ซัดพท.พาดพิง “ทักษิณ”เย้ยอย่าหวังชนะแลนด์สไลด์! เจอสวนลต.ใหม่เลือกสุนัขดีกว่าโรม?
จากกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และ รังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงจุดยืนพรรคก้าวไกลในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยพรรคก้าวไกลเห็นว่าหนทางที่ดีที่สุดในการออกจากวิกฤตรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งมาจากการรัฐประหาร แล้วจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และไม่เห็นด้วยกับการการจำกัดไม่ให้แก้หมวด1และ2 และเสนอแก้ให้ใช้บัตร 2 ใบ แบบผสม
ในขณะที่ทางด้าน พรรคเพื่อไทย เตรียมยื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 5 ร่าง ว่า พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย ทั้งแก้รัฐธรรมนูญแบบแก้ทั้งฉบับ คือยื่นให้มีการแก้ไขมาตรา 256 แบบปีที่แล้วโดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 และแก้ไขเป็นรายมาตราเพื่อเพิ่มสิทธิ และเสรีภาพของปวงชนชาวไทย, เสนอแก้บัตรเลือกตั้ง เป็นการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตามรัฐธรรมนูญปี 40 และการแก้มาตรา 272 เพื่อปิดสวิตซ์ส.ว.
ต่อมาทางพรรคก้าวไกล ก็ได้มีมติไม่รับร่างของพรรคเพื่อไทย ที่จำกัดไม่ให้แก้ในหมวด 1 และหมวด 2 เราเห็นว่าสสร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ทำให้เกิดเสียงแตก
ซึ่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นายทักษิณ ชินวัตร ได้จัดรายการ CARE ClubHouse x CARE Talk ในหัวข้อ “โทนี่ขอถามจริงๆ เมื่อไรจะหายวุ่น ทำไมทำเรื่องง่าย ให้เป็นเรื่องยาก” โดยเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ถามคำถาม ช่วงหนึ่งมีผู้ร่วมตั้งคำถามถึงรัฐธรรมนูญปี 2540
ทักษิณได้อธิบายว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 นั้น เกิดขึ้นเพราะไทยบริหารแบบมีพรรคเล็กพรรคน้อยเยอะ และไปกดดันผู้นำ ต่อรอง ทำให้รัฐบาลอยู่สั้น เป็นปัญหาในอดีต นพ.ประเวศ วะสี จึงเสนอทางออกว่าต้องสร้างรัฐธรรมนูญที่คำนึงศักดิ์ศรีคนไทย และให้อำนาจผู้นำ สรุปออกมาเป็นร่างของประชาชนว่าคิดอย่างไร ทั้งเรื่องสวัสดิภาพ ศักดิ์ศรี
“ในเรื่องเลือกตั้งก็มีระบบเขต 400 เขต ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน ไปถึงก็โหวต 2 ใบ ใบหนึ่งเลือกคน อีกใบเลือกพรรค ก็เอาใบของคนมาตัดสินเขตนั้นเลย พรรคก็เอามาดู กกต. กลาง ว่าใครได้เท่าไร ข้อดี ประชาชนได้เลือกทั้งพรรคทั้งคน ประชาชนตัดสินได้เองว่าจะเลือกพรรคอะไร ส.ส. คนไหน ซึ่งผมไม่ค่อยมีปัญหา แบบปี 2540 ชัด ประชาชนชิน ถ้ากลับไปอีก อย่างที่ก้าวไกลบอกว่า 2 บัตรแบบเยอรมนีนั้น ผมไม่ชำนาญเลยไม่รู้ เพราะผมเองเป็นผลผลิตของปี 2540”
นอกจากนี้ยังได้แสดงความเห็นถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงขณะนี้ว่า วันนี้ตนเชื่อแบบโบราณ คิดว่ากำขี้ดีกว่ากำตด วันนี้การแก้ไขกฎหมายใดๆ ถ้ารัฐบาลจะเอาอย่างไรก็มักจะเป็นแบบนั้น เพราะเสียงเขามาก แต่ไหนๆ เขาบอกว่าแก้บางส่วน เราคิดว่าอะไรเป็นประโยชน์บางส่วนก็ใส่เข้าไปก่อน เผื่อฟลุกจะได้ แต่ต้องมีจุดยืนว่าต้องเป็นประชาธิปไตย แก้ทั้งฉบับ เพื่อไทยเขาสงวนหมวด 1-2 ก็ดี จะได้ไม่วุ่นวาย ส่วนแก้ทั้งฉบับให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ ( สสร.) แก้
“รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 แย่ที่สุดตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา ถ้าให้ผมเลือกก็ชอบฉบับปี 2540 ดีที่สุดตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา มีจุดที่ไปแก้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่มาจากประชาชน และคำนึงถึงศักดิ์ศรีของประชาชนจริงๆ” ทักษิณกล่าว
ทักษิณยังได้กล่าวถึงการเมืองและการเลือกตั้งในอนาคตว่า ถ้ามีการเลือกตั้งเมื่อไร ต้องเลือกผู้นำของตัวเองอย่างจริงจัง ถ้าเลือกกระจาย 250 ส.ว. ก็กดปุ่มปั๊ป สมมติว่า นาย ก. เหมาะมาก เทไปเลย เต็มที่เลย เป็นสัญญาณว่าประชาชนจะเอาแบบนี้ จะได้เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเป็นเบี้ยหัวแตกก็เปลี่ยนแปลงยาก
“อนาคตอยู่ที่ประชาชน ครั้งหน้าซื้อเสียงอย่างหนัก ช่วงนี้รายได้ดี ตอนนี้คิดจะซื้อ ส.ส. ฝ่ายค้านมา อยู่ไกลแต่ได้ข่าว การเมืองมันกลับมาเน่าเหมือนเดิม เหมือน 5-6 เสียง ขู่นายกฯ ได้ ตอนปี 2544 ขู่ไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 ให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ตอนนี้เบี้ยหัวแตกเต็มไปหมด”
ต่อมานายรังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แสดงความเห็นต่อกระแสการแก้รัฐธรรมนูญ และมีการพาดพิงไปถึงนายทักษิณ ชินวัตร โดยระบุข้อความว่า
” แลนด์สไลด์… ไปทางไหน? เพื่อใคร? เพื่อไทย? เพื่อประชารัฐ?
ถึงตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจุดมุ่งหมายของพรรคเพื่อไทยในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องระบบการเลือกตั้งที่ยอมเล่นตามเกมของพรรคพลังประชารัฐ รื้อกรอบจำนวน ส.ส. พึงมีออกไป แล้วไปเน้นหนักที่การเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 400 คน (เพิ่มจากเดิมขึ้นมา 50 คน) ก็คงเป็นอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ คือเพื่อหวังให้เกิดการเทคะแนนไปที่พรรคใดพรรคหนึ่งอย่างเต็มที่ ด้วยข้ออ้างว่าหากเป็นเบี้ยหัวแตกแล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ยาก
พูดง่ายๆ คือหวัง “แลนด์สไลด์” แบบที่ตัวเองเคยได้ในอดีต โดยค่อยไปวัดพลังกับพรรคพลังประชารัฐเอาดาบหน้า
ในที่นี้ ผมคงไม่ลึกลงรายละเอียดถึงปัญหาเชิงหลักการของข้อเสนอระบบการเลือกตั้งดังกล่าว เพราะทั้งผมและพรรคก้าวไกลได้พูดไปพอสมควรแล้วก่อนหน้านี้ แค่ขอย้ำว่าระบบการเลือกตั้งดังกล่าวมีปัญหาแน่ๆ ในการทำให้สัดส่วนระหว่างจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองกับจำนวนประชากรที่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ไม่เหมาะสมกัน บางพรรคจะได้ ส.ส. เกินส่วนประชาชนที่เลือก ในขณะที่บางพรรคก็จะได้ ส.ส. ขาดส่วนประชาชนที่เลือกเช่นกัน แต่แค่อยากจะขอถามไปยังพรรคเพื่อไทย ว่า “แลนด์สไลด์” ที่คาดหวังนี้ จะไปในทิศทางไหนกันแน่?