จากที่วานนี้ (17 ก.พ. 2564) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยในการอภิปรายของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข
นายวิโรจน์ อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน รู้อยู่ตลอดเพราะรัฐบาลนี้เป็นคนคาดการณ์ว่าหากฉีดวัคซีนล่าช้า 1 เดือน ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะเท่ากับ 2.5 แสนล้านบาท ดังนั้น ทุกวันที่ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศ ประเทศชาติจะเสียหายเป็นมูลค่า 8,300 ล้านบาท คิดเป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ 347 ล้านบาท จนถึงวันนี้ช้าไปมากแล้วจึงเป็นความผิดที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศบค. และนายอนุทิน จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
การที่นายอนุทินออกมาอ้างว่าที่ไทยไม่เข้าร่วม COVAX เพราะเป็นประเทศฐานะปานกลาง แต่ทำไมประเทศที่ร่ำรวยอย่างประเทศในสหภาพยุโรป เป็นต้น ถึงเข้าร่วม นายอนุทิน อย่ามาอ้างว่า COVAX จะส่งมอบวัคซีนล่าช้า เพราะองค์การอนามัยโลก ได้ประกาศเอาไว้ที่หน้าเว็บไซต์ เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 64 ว่า ได้เตรียมส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนกา ประมาณ 150 ล้านโดส ประเทศในอาเซียนต่างได้รับการแจกจ่ายวัคซีนกันถ้วนหน้า ช้าตรงไหนไม่ทราบ
ส่วนประเทศไทยเป็นศูนย์ครับ เพราะนายอนุทิน และพล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจไม่เข้าร่วม COVAX กะจะพาประชาชนไปกระจุกความเสี่ยงที่วัคซีนแอสตราเซเนกา ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชน ที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน จะมั่นใจได้อย่างไรว่า บริษัทเอกชน ที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ที่เพิ่งจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนชนิด Viral Vector จะผลิตวัคซีน ส่งมอบตามจำนวนที่ได้วางแผนเอาไว้
เรื่องที่คนไทยให้อภัยพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้โดยเด็ดขาด คือรู้ทั้งรู้ว่าสยามไบโอไซเอนซ์ นั้นมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แทนที่จะรอบคอบ ประณีต โปร่งใส แต่กลับรวบรัด ขาดความโปร่งใส อำพรางข้อมูลสาธารณะ จนเกิดความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน แทนที่จะสำนึก ขอพระราชทานอภัยโทษ แต่พล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ฟ้องร้องปิดปาก
“พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน มักใหญ่ใฝ่สูงหมายจะเอาเงินภาษีของประชาชนไปสร้างซีนให้กับตนเอง คุยโม้คุยโต โง่แล้วอยากนอนเตียง เอาชีวิตของราษฎรไปขึ้นเขียง เอาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนไปเสี่ยงกับบริษัทเอกชนที่เพิ่งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน นี่หรือคนที่อ้างว่าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และที่กล้าที่จะเป็นเหลือบ ลิ้น ไร ปรสิต โหนนำสถาบันมาเป็นเกราะป้องกันตัวเอง ความผิดตัวเองคนคู่นี้ แค่เดินเฉียดเงาผมยังรู้สึกรังเกียจ แค่คิดว่าต้องหายใจเอาอากาศร่วมกันกับคนสองคนนี้ ก็รู้สึกขยะแขยง จึงไม่อาจให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ และรมว.สาธารณสุขได้ต่อไป” นายวิโรจน์กล่าว
ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าวเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงการอภิปรายของนายวิโรจน์ ว่าเอาเรื่องของวัคซีนโควิดมาโหนโจมตีสถาบัน และยังขาดข้อมูลที่เป็นจริงด้วย
นายวิโรจน์ที่อภิปรายกรณีดังกล่าวพาดพิงไปถึงสถาบันฯ นั้น พบว่าเป็นหนึ่งใน ส.ส.บัญชีรายพรรคก้าวไกล ที่ขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทั้งที่มีแนวทางชัดเจนว่าสนับสนุนกลุ่มม็อบราษฎร ซึ่งมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อสถาบัน จนกลายเป็นเรื่องที่คนในสังคมกังขาว่าเหตุใดถึงยื่นเรื่องขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในครั้งนั้น
สำหรับ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร หรือ โรจน์ วัย 42 ปี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จบวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมยานยนต์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาเอก สาขาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (เศรษฐศาสตร์) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
มีประสบการด้านงานบริหารธุรกิจค้าปลีก, บริหารทรัพยากรมนุษย์, บริหารธุรกิจการศึกษา และการพัฒนา และปรับปรุงหลักสูตรคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
ก่อนที่จะเล่นการเมือง นายวิโรจน์ติดตามงานนายปิยบุตร แสงกนกกุล และรู้จัก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในภายหลังร่วมกันตั้งพรรคอนาคตใหม่
และเส้นทางการเมืองของนายวิโรจน์ มาจากคำชักชวนของน้องคนหนึ่งที่รู้จักกันในทวิตเตอร์ และต่อมาได้มีการชักชวนให้นายวิโรจน์มาเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้จดจัดตั้งพรรคการเมือง และเมื่อทำงานกับพรรคอนาคตใหม่ไปเรื่อย ๆ เขาก็ได้รับคำชวนให้ไปลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 30
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทางด้าน นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ยังได้โพสต์ข้อความว่า “ฟังฝ่ายค้านตะโกนอภิปรายfakenewsในสภา vs ผอ.สถาบันชี้แจงเรื่องวัคซีน มีข้อแนะนำครับ ขอให้เร่งคืนเครื่องราชย์และใบปริญญาเอกโทตรีด่วน”