จากกรณีเมื่อวันที่ 8 ก.พ. นายสิระ เจนจาคะ ประธานกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฏร นำนายอนัธชัย ล่องนาวา ประชาชนที่อาศัยอยู่บนเกาะงำ จังหวัดภูเก็ต พร้อมภรรยาและลูกชาย 3 คน
แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีที่นายอรัธชัย ยื่นเรื่องร้องต่อกรรมาธิการเมื่อเดือนต.ค.ปี 2563 ว่า ถูกนายรังสิมันต์ โรม เมื่อครั้งเป็น ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ในปี 2562 พร้อมพวกลงพื้นที่เกาะงำข่มขู่ขับไล่ และบังคับให้เซ็นเอกสารเพื่อรื้อถอนที่พักอาศัยภายในระยะเวลา 2 เดือน โดยนายอนัธชัยกล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นนายรังสิมันต์ได้เดินทางมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้นำตัวลูกชาย 2 คนไปกักขังและสอบปากคำ เพื่อดำเนินคดีต่อครอบครัว
นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกกรรมาธิการณ กล่าวว่า กรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนต.ค. 2563 ว่าพฤติกรรมของ ส.ส.รายนี้เป็นการเอาหน้าที่มาข่มขู่เพื่อจะเข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้ ซึ่งกรรมาธิการณได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ทั้งจากผู้อาศัยข้างเคียง และกรมป่าไม้ ได้หลักฐานเป็นภาพถ่ายว่า ส.ส.รายนี้ลงพื้นที่ในวันดังกล่าวจริง พบว่ามีการนำเด็กไปควบคุมตัวที่สำนักงานป่าไม้ ใช้เวลาควบคุมตัว 8-10 ชั่วโมง โดยไม่ให้รับประทานอาหาร และไม่ได้แจ้งข้อหาใดๆ โดยอ้างเพียงว่านำตัวไปเพื่อปรับทัศนคติ
นายชัยยันต์ กล่าวว่า ผู้เสียหายพยายามแจ้งความดำเนินคดีแล้วหลายครั้ง แต่เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้อยู่ในพื้นที่ หลังจากนี้อาจต้องขอให้กรรมาธิการฯ พิจารณาเรื่องการคุ้มครองพยานด้วย
ต่อมา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ชีแจงเรื่องกังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“จากกรณีที่คุณสิระ เจนจาคะ ส.ส.พลังประชารัฐ และคุณชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส. ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมแถลงข่าวว่ามีประชาชนที่เกาะงำ จ.ภูเก็ต มาร้องเรียนว่าถูกผมข่มขู่ให้ออกจากพื้นที่นั้น
ผมขอเรียนว่าข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น นี่คือการใช้ลูกไม้สกปรก ใช้เรื่องเท็จในการใส่ร้ายทางการเมือง เพื่อหวังผลทำลายความน่าเชื่อถือของผม และพรรคก้าวไกลในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ
แต่ไหนๆ คุณสิระและคุณชัยยันต์หยิบเอาเรื่องนี้มาพูดแล้ว ผมก็จะอธิบายจะได้เกิดความชัดเจนกันไป
ผมได้ลงพื้นที่ในงำ หรือบ้างเรียกเกาะฮำ 2 ครั้งด้วยกัน คือช่วงเดือนมกราคม 2562 และ เดือนกันยายน 2562 ตอนที่ลงพื้นที่ดังกล่าวครั้งแรก เป็นช่วงการหาเสียง ที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านพารา ซึ่งอยู่ฝั่งของเกาะภูเก็ต ว่าชาวบ้านไม่สามารถไปเยือนเกาะดังกล่าวได้ เพราะไปแล้ว มีการใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า ข่มขู่ว่าจะทำร้าย ซึ่งชาวบ้านพารามีความกังวลว่า อาจจะมีกระบวนการให้นายทุนมายึดครองเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัว ผมจึงถือโอกาสนั้นลงพื้นที่ดังกล่าว พบว่าเป็นเกาะที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ไม่พบเห็นใครอยู่ในเกาะดังกล่าว (แต่ต้องย้ำว่าตอนลงพื้นที่ครั้งนั้น เราอยู่เฉพาะหน้าหาดเท่านั้น ไม่ได้สำรวจลึกเข้าไปในเกาะ)
ผมลงพื้นที่เกาะงำอีกครั้ง คือเมื่อเดือนกันยายน 2562 ซึ่งชาวบ้านบ้านพารา ยืนยันกับผมว่าอีกครั้งว่ามีความพยายามเอาเกาะงำนี้เป็นเกาะส่วนตัวจริง จึงมาร้องยังผมเพื่อขอให้ช่วย ผมลงจึงลงพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งการลงครั้งนี้เป็นการลงร่วมกับทางป่าไม้ เหตุที่ลงพร้อมกับป่าไม้ ผมทราบว่าทางชาวบ้านน่าจะประสานลงพื้นที่กับทางป่าไม้มาอีกทางหนึ่ง จึงได้มีการลงพื้นที่ร่วมกัน เพราะมีชาวบ้านมาร้องเรียนว่ามีคนบุกรุกพื้นที่เกาะ มีอาวุธปืนยิงไล่คนที่เข้าใกล้ ผมจึงลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อตรวจสอบเบื้องต้น จึงได้พบกับครอบครัวดังกล่าว
ซึ่งทางป่าไม้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าไม้จริง มีการปลูกบ้านอยู่อาศัย ทางป่าไม้จึงแจ้งกับทางครอบครัวดังกล่าวให้ออกจากพื้นที่ภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่มีการข่มขู่แต่อย่างใด
ผมขอยืนยันว่าตัวผมไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับที่ดินบนเกาะงำเลยแม้แต่น้อย และภายหลังจากที่ลงพื้นที่ครั้งนั้น ผมก็ยังไม่เคยได้ไปที่เกาะแห่งนั้นอีก
ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่ามีการคุกคามกักขังหน่วงเหนี่ยวเด็ก ผมขอยืนยันว่าไม่ได้มีการแตะเนื้อต้องตัวเด็กแม้แต่น้อย ผมเองคงไม่มีความสามารถทำแบบนั้น ณ เวลานั้นผมเป็น ส.ส. ได้แค่ 6 เดือน ที่สำคัญเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน จะเอาเด็กไปขังไว้สำนักงานป่าไม้ ข้าราชการที่ไหนเขาจะยอมให้ผมทำแบบนั้น
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าการหยิบเรื่องดังกล่าวมาโจมตีผมในจังหวะเวลานี้จะเป็นไปด้วยมูลเหตุจูงใจอะไรก็ตาม ผมพร้อมที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในทุกประเด็น ทุกกระบวนการ และหากว่านี่คือขบวนการใส่ร้ายป้ายสีผม ผมจะดำเนินการทางกฎหมายกลับอย่างแน่นอน”
อย่างไรก็ตามแม้ว่านายรังสิมันต์โรม จะออกมาชี้แจงว่าตนไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่หากย้อนไปดูพฤติกรรมของส.ส.โรม ทำให้เห็นว่าส.ส.คนนี้ในสมัยเป็นนักกิจกรรมก็น่าจะเดือดไม่เบา พิสูจน์ได้จากฉายา “รังสิมันต์ โรม นักต่อยตำรวจ” !?