อานนท์เพ้อรายวัน! ปีนี้ชี้ชะตาอ้างเขาไม่ประนีประนอม โถขนาดชาญวิทย์ยังกังวลม็อบล้มเหลว

2425

จากที่ดร.ชาญวิทย์ ออกมาพูดในทำนองฝ่ายผู้มีอำนาจ ชนชั้นปกครองต้องประนีประนอม ทั้งยังมีนำเสียงถึงความไม่มั่นใจว่าม็อบที่สนับสนุนจะทำสำเร็จหรือไม่ ขณะแกนนำคณะราษฏรบางคนกลับออกมาบอกว่าฝ่ายอนุรักษ์ไม่ประนีประนอมและปีนี้จะสุกดิบนั้น

ล่าสุดวันนี้ 4 กุมภาพันธ์ 2564 นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มคณะราษฎร และทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก  ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎรในปี 2564 โดยระบุเนื้อหาว่าภารกิจของฝ่ายขวาคือ ราษฎรต้องทำลาย และ ขยายอนุรักษนิยม

  1. ราษฎรต้องทำลาย : เราได้กระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อปีที่แล้วว่าขบวนเราเติบโตและแหลมคมมากๆมาก จนฝ่ายขวาไม่สามารถปราบปรามได้ แต่นั่นเพราะเขายังตั้งตัวไม่ติดต่างหาก พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคลื่นใต้น้ำที่มากมายและรุนแรงขนาดนี้ พวกเขาประมาทเพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขามีเครื่องมืออย่างเพรียกพร้อม ไม่น่าจะมีใครกล้าลุกขึ้นต่อกร ปีที่แล้วพวกเราทำให้เขาตระหนกและแตกตื่นในคลื่นของราษฎรและข้อเสนอที่ทิ่มแทงพวกเขา

ทว่าตอนนี้พวกเขาผ่านมันมาได้แล้ว และตั้งตัวได้แล้ว ตอนนี้เขามีการแบ่งสายที่ทำลายพวกเราอย่างชัดเจนทั้งในโลกโซเชียลที่เต็มไปด้วยไอโอ รวมทั้งสื่อจำนวนหนึ่งซึ่งพร้อมจะเป็นมือเป็นตีนในการจัดการพวกเรา ส่วนในโลกจริงพวกเขามีเจ้าหน้าที่รัฐที่พร้อมจะยัดคดีและกระทำความรุนแรงกับพวกเรา มาตรการหนึ่งซึ่งซึ่งชัดเจนมากคือ การยั่วยุให้พวกเราด้วยความรุนแรงเพื่อหวังให้พวกเราใช้ความรุนแรงกลับ รวมทั้งการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการทำร้ายพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เริ่มมีการจัดตั้งมวลชนเพื่อมาก่อกวนและทำร้ายร่างกายพวกเราแล้ว

ปีนี้จึงเป็นปีที่หนักหน่วงของราษฎร ถ้าต้านทานไหวและยืนหยัดได้ เราจึงมีโอกาสชนะ ถ้าเพลี่ยงพล้ำก็หมายถึงการเสียเสรีภาพหรือมากกว่านั้นก็คือ “ความตาย”

2.ขยายอนุรักษนิยม : ปีนี้พวกเขาตั้งตัวได้แล้วและแบ่งหน้าที่กันแล้ว ปรากฎการณ์แรกที่พวกเขาทำคือการทำลายราษฎรและป้ายสีให้พวกเราเป็นพวกคนพาล ไร้เหตุผล ชอบใช้ความรุนแรง ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ ไร้กาลเทศะ ไม่สำนึกบุญคุณแผ่นดิน ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งก็เพื่อขยายแนวร่วม ดึงเอาคนกลางๆซึ่งยังไม่มีข้อมูลเพียงพอรับสื่อจากรัฐให้เห็นด้วยและคล้อยตามกับพวกเขาด้วยเครื่องมือที่พวกเขามีทั้งหมด เช่น การแทรกซึมปั่นสมองไปในระบบการศึกษาและระบบราชการ การสร้างข้อมูลชวนเชื่อปล่อยไปในโซเชี่ยล รวมทั้งการให้ชนชั้นนำเดินสายหาเสียงสนับสนุนใส่ร้ายกลุ่มราษฎร

สื่อ คืออีกเครื่องมือในการขยายแนวร่วมของพวกเขา นอกจากการทำลายสื่อที่เป็นกลางแล้วเขายังเพิ่มสื่อที่ป้อนข้อมูลด้านเดียวเพื่อปั่นกระแสคลั่งชาติ คลั่งเจ้า และใส่ร้ายป้ายสีขบวนราษฎร  การสร้างมวลชนอาสาคืออีกงานหนึ่งซึ่งอันตรายมาก พวกเขามีการทำงานขยายจำนวนอย่างเป็นระบบและเพิ่มจำนวนอย่างน่ากลัว

การต่อสู้ครั้งนี้แม้มีคนบอกว่ายังไงฝ่ายประชาธิปไตยชนะแน่ แต่ต้องบอกว่าไม่ง่าย เพราะพวกเขาไม่มีทางประนีประนอม แพ้คือราบคาบ ชนะคือเต็มใบ ด้วยยุทธศาสตร์ทั้งสองของพวกเขา ขบวนเราซึ่งมีความหลากหลายมากๆจึงมีโจทย์ที่ต้องแก้ร่วมกัน รุกรับต้องประสาน ผ่อนหนักผ่อนเบา รู้เข้าตีรู้ล่าถอย ซุ่มซ่อนรอจังหวะ ปีนี้อาจเป็นปีสุกดิบกระทั่งอาจเป็นปีชี้ชะตาของเขาและเรา  เชื่อมั่นและศรัทธา

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก Voice TV ได้โพสต์ข้อความเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไว้บางช่วงที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า

เปิดมุมมองต่อคนรุ่นใหม่ ฝ่ายอนุรักษนิยม ชนชั้นนำ และหนทางตามวลีแห่งประวัติศาสตร์ที่ว่า “Thailand is the land of compromise” จะเป็นไปได้อย่างไร ณ จุดที่สังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่านอย่างถึงราก

‘วอยซ์’ : นอกจากเสียงเรียกร้องให้ยกเลิก 112 แล้ว เสียงของฝั่งรอยัลลิสต์ก็ไม่เบา อาจารย์มองอย่างไร กังวลใจไหมว่าภาพแบบ 6 ตุลาฯ จะฉายซ้ำ

‘ชาญวิทย์’ : กรณีของคนรุ่นใหม่ตั้งแต่ชุมนุมเมื่อกรกฎาคม 2563 เป็นสิ่งที่ผมประหลาดใจนะ แล้วไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยซ้ำ ประหลาดใจมากๆว่า ความกล้าของเขาเรียกว่าทะลุทะลวงข้อจำกัดเนี่ย ผู้มีอำนาจ ผู้มีบารมี กลับไม่พยายามหาทางมาเจอกัน ผมว่าน่าวิตก น่าห่วงมากๆ

สถานการณ์โดยรวมซีเรียสนะครับ แต่ถามว่าน่าหมดหวังไหม น่าท้อถอยไหม ไม่นะ ผมว่าใช้คำว่าน่าจะยังมีโอกาส ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ผมอายุ 80 แล้ว เห็นโลกมายาวนานแล้ว ถ้าเรามองปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเรา และในโลกทั้งใบ ในที่สุดคงจะผ่านไปได้

‘วอยซ์’ : อาจารย์มองเห็นความหวัง แปลว่าทุกฝ่ายคงกลับมาคุยกันได้ใช่ไหม เหมือนดั่งประโยคที่ว่า “Thailand is the land of compromise”

‘ชาญวิทย์’ : ผมคิดว่าคำว่า “Thailand is the land of compromise” เป็นคำที่งดงามมากๆ และเป็นคำที่โดยใครก็ตาม รวมทั้งผมด้วยก็คงหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ผมว่ามันเป็นวาทกรรม เป็นแนวคิดที่ว่าคนไทยมีอันนี้ แต่ในความจริงทางประวัติศาสตร์ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่ามันมีอยู่ในนี้ (ชี้ที่หัวตัวเอง) ก็น่าจะเป็นคุณสมบัติของเรา เราก็ต้องฝ่าฟันไปให้ถึงจนได้

“ผมอยากเชื่อว่าผู้มีอำนาจ ผู้มีบารมี คนที่อยู่ในชนชั้นปกครอง เขาจะ compromise เมื่อเขารู้ว่าถ้าไม่ compromise เขาก็อาจจะพัง เพราะฉะนั้นปรากฏการณ์ที่ผ่านมา ผมว่าสังคมอาจจะมาถึงจุดนี้ก็ได้แล้ว ถ้าเราไม่ compromise เราพังกันหมด ไม่มีใครได้”