นักวิชาการญี่ปุ่นวิเคราะห์สหรัฐล่มสลายภายใน 10 ปี?!? เหตุเหยียดผิว คลั่งเสรีภาพปชต.สุดโต่ง คาดไม่พ้นสงครามกลางเมือง

4154

ฮืฮฮาไปทั่วโลก เมื่อนักวิชาการญี่ปุ่นฟันธง จักวรรดินิยมอเมริกาจะล่มสลายเหมือนอดีตสหภาพโซเวียตภายใน 10 ปี ด้วยรากเหง้าความขัดแย้ง 3 ประการ การเหยียดผิว เสรีภาพสุดโต่ง และประชาธิปไตยจอมปลอม ที่สำคัญไม่อาจแก้ไขได้ เพราะมองไม่เห็นตัวเอง การเปลี่ยนแปลงเชิงประชากรจะทำให้เกิดการจัดระเบียบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แบบใหม่จนทำให้ความขัดแย้งเผชิญหน้ารุนแรงขึ้นทุกที จนระเบิดเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด

สื่อญี่ปุ่นเผยแพร่บทความวิเคราะห์อเมริกาได้แสบจี๊ด ทะลุเนื้อในปัญหาที่ถูกกลบเกลื่อนทั้งจากรัฐบาลสหรัฐและสื่อหลัก สื่อโซเชียลมิเดีย

วารสารวิชาการชื่อ “Izu View the World” ตีพิมพ์บทความของศจ.โคบายาชิ โคอิชิ (Kobayashi Koichi) ศาสตราจารย์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยนาโกย่า ในหัวข้อ “ภายใน 10 ปีสหรัฐฯมีแนวโน้ม ที่จะล่มสลาย เหมือนอดีตสหภาพโซเวียต!” หรือ “A Split United States and the Split of the United States”

บทความนี้เชื่อว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้าสหรัฐฯมีแนวโน้ม ที่จะแตกแยกและล่มสลายอย่างกะทันหัน! เมื่อบทความนี้เผยแพร่ออกไป ก็ทำให้เกิดความฮือฮาไปทั่วโลกทันที  และเชื่อว่ามีความขัดแย้งสำคัญอยู่สามประการที่ฝังรากลึกในสหรัฐอเมริกา ที่ไม่มีทางเอาชนะได้ และข้ามผ่านไม่ได้ ซึ่งได้เคยส่งเสริมสหรัฐอเมริกาให้มีอำนาจเข้มแข็ง อยู่ยงคงกระพัน เช่นเดียวกับอดีตสหภาพโซเวียต แต่ในที่สุดก็จะนำไปสู่การล่มสลาย ที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ เป็นเพียงวิถีการสูญพันธุ์ที่มักเกิดขึ้น ในทิศทางตรงกันข้ามกับสภาวะปัจจุบันที่เห็นและเป็นอยู่

ความขัดแย้งทั้งสามนี้ ได้แก่

  1) การเหยียดผิวที่ฝังรากลึกความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่เกิดจาก 2) พลังของกลไกภายในของระบบประชาธิปไตยอเมริกันกลายเป็นความจริงครึ่งเดียว ที่เรียกว่า “เฟคส์” และอ่อนล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ มีแต่การสร้างภาพ บิดเบือนข้อเท็จจริง อย่างไม่ซื่อตรง ทำให้ไม่อาจเข้าใจความจริงที่ปรากฎทั้งในเชิงประจักษ์ และในเชิงวิเคราะห์ 3) การเรียกร้องเสรีภาพสุดโต่งของผู้คน และความขัดแย้งระหว่างความเป็นจริง และความสามารถที่จะให้ได้ ความขัดแย้งทั้งสามนี้ กลายเป็นโรคเรื้อรังที่สังคมอเมริกัน ไม่สามารถรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ และความแตกแยกทางเชื้อชาติเป็นอุปสรรคของคนอเมริกันที่ไม่ยอมรับความจริงข้อนี้

เมื่อไม่นานมานี้ ในเมืองเคโนชา รัฐวิสคอนซิน เจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวได้ยิงปืนเจ็ดนัด ที่ด้านหลังของชายผิวดำ ซึ่งปฏิเสธการสอบปากคำ ทำให้เกิดการจลาจลในเมือง ต่อมามีวัยรุ่นผิวขาวอีกคน ยิงใส่ผู้ชุมนุมบริเวณ “สำนักงานคุ้มครอง” ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บสาหัส 1 ราย เหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้เกิด การประท้วงระดับชาติอีกครั้ง ห่างจากคดีตำรวจผิวขาวทำร้ายชายผิวสี “จอร์จ ฟลอยด์” ในรัฐมินนิโซตา เพียงสามเดือน

เกิดอะไรขึ้นกับสหรัฐอเมริกา?    การจลาจลทางเชื้อชาติเกิดขึ้นหลายครั้ง ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา แต่ความแตกต่างคือ ในอดีตส่วนใหญ่กระจุกตัว อยู่ในถิ่นฐานของคนผิวสี แต่ขณะนี้ ด้วยความแพร่หลายของโทรศัพท์มือถือ สื่ออินเตอร์เน็ต โซเชียลมิเดีย มีความดึงดูดทางอารมณ์ร่วมของมวลชน และความสามารถในการระดมคนในสังคมอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจุดชนวน ลุกลามทั่วสหรัฐอเมริกาได้ในทันที 

ในทางกลับกัน กลุ่มคนผิวขาวหัวรุนแรง ได้เพิ่มความยึดโยงกันเหนียวแน่นขึ้น และมีการขยายตัวของพวกเขาด้วยเช่นกัน มีกองกำลังติดอาวุธโลดแล่นไปตามท้องถนน ด้วยปืนไรเฟิลอัตโนมัติ และบางครั้ง ตำรวจก็มองว่า พวกเขาเป็นตัวช่วย ในการรักษาระเบียบสังคม เป็นผลให้เกิดการจลาจล ทางชาติพันธุ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น กองกำลังติดอาวุธผิวขาวหัวรุนแรง มีความหยิ่งผยองมากขึ้น และประธานาธิบดีทรัมป์ก็ จุดฟืนโหมไฟทุกครั้งที่มีโอกาส  สร้างความแตกแยกทั้งภายในและภายนอก ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน เป็นอาการของการเสื่อมถอย ของโครงสร้างของอเมริกา

ในปี 2019 การสำรวจของสถาบัน Brookings ในสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยรายงาน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนทางชาติพันธุ์ ของประชากรในสหรัฐอเมริกา เห็นได้ชัดว่าคำถามมากมายได้รับคำตอบ

ในปี 1980 ชาวอเมริกันผิวขาว คิดเป็น 79.6% ของประชากร ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ รวมถึงชาวลาติน ชาวเอเชียและคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนผิวขาว 

ในปี 2018 คนผิวขาวคิดเป็น 60.4% และคนที่ไม่ใช่คนผิวขาว คิดเป็นเกือบ 40% ประมาณแค่ผ่านไป40ปี ประชากรคนผิวขาวลดลง 20%

ส่วนประชากรอายุต่ำกว่า 15 ปี ในปี 2523 คนผิวขาวคิดเป็น 73% แต่ในปี 2561 คนผิวขาวมีสัดส่วนเพียง 49.9% ลดลง เหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง จากแนวโน้มดังกล่าว ในอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า ประชากรผิวขาว จะเหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ของประชากรในประเทศและคนผิวขาว อายุต่ำกว่า 30 ปีจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ที่ชัดเจน การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณ ในโครงสร้างทางประชากรนี้ จะเปลี่ยนแปลงการเมืองอเมริกันโดยพื้นฐาน    มีประเด็นสำคัญสองประการ ประการหนึ่งคือจากรัฐบาลกลาง ไปจนถึงระดับท้องถิ่น คนที่ไม่ใช่คนผิวขาว จะควบคุมอำนาจ ได้มากขึ้น ประการที่สองคือ คนที่ไม่ใช่คนผิวขาว จะแก้ไขการแจกจ่ายทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และสังคม ให้ยุติธรรมเสียใหม่ ผ่านการออกกฎหมาย

การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของอำนาจทางการเมือง และทรัพยากรทางสังคมและเศรษฐกิจ จะทำให้ความแตกแยกทางสังคมรุนแรงขึ้น และนำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน    การเติบโตอย่างรวดเร็ว ของกลุ่มคนผิวขาวที่ก้าวร้าวในปัจจุบัน รวมถึงการเกิดกระแสนิยมของทรัมป์ เป็นผลิตผลมาจากความหวาดกลัวของคนผิวขาว

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปัจจุบัน ไม่ว่าใครจะชนะ อีกฝ่ายจะตกอยู่ในความสิ้นหวัง และความโกรธที่ฉุนเฉียว ทางออกที่สหรัฐฯทำคือ การเมืองแบบตัวแทนของอเมริกา ที่เกิดจากการผสมผสาน ระหว่างลัทธิเสรีนิยม ปัจเจกนิยม และทุนนิยมและคนอเมริกันปักใจเชื่อมั่นว่า คือแนวทางการปกครองที่มีคุณธรรมสูงสุด และมีประสิทธิผลสูงสุด สำหรับมนุษยชาติในปัจจุบัน  

แต่โรคไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก ได้ทำลายภาพลวงตานี้ เผยให้เห็นความจริงว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ มีผลการดำเนินงาน แย่ที่สุดในโลก การปกครองแบบอเมริกัน ไม่เพียงแต่ไม่ช่วย แต่ยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก นอกจากนี้ยังช่วยให้ความเจ็บป่วยทางเชื้อชาติ เศรษฐกิจและวัฒนธรรมดั้งเดิมเปิดเผยขึ้นพร้อมกัน และไม่สามารถควบคุมได้ 

 

จากมุมมองของการเมืองเชิงประชากรนั้น ประเทศใดในโลกที่สามารถรักษาเอกภาพของการเมือง และดินแดนไว้ได้เป็นเวลานาน โดยไม่มีปัญหาเชื้อชาติ ประชากรเป็นคนส่วนใหญ่ที่มั่นคง?  แต่สหรัฐไม่ใช่ ด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ของอเมริกันผิวดำ ที่ถูกค้ามนุษย์ ถูกกดขี่และเลือกปฏิบัติโดยคนผิวขาว ความแตกแยกครั้งใหญ่ในอนาคต ในสหรัฐอเมริกา จะเต็มไปด้วยความเกลียดชังและเสียเลือดเนื้อ และมีความเป็นไปได้มาก ที่จะระเบิดเป็นสงครามกลางเมือง ในทันที 

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ มีอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก การแตกสลายของสหรัฐอเมริกานั้น ร้ายแรงกว่าอดีตสหภาพโซเวียตมาก มันจะเป็นหายนะ ของมนุษยชาติซึ่งเป็นเรื่องที่ ไม่อาจคาดเดาได้

สามสิบปีที่แล้วระหว่างเรากับคนรุ่นนี้ ดูเหมือนว่าการอพยพ ไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมาย ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ของแผนที่เส้นทางสู่ความสำเร็จในชีวิต เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน  ในอีก 20 ปีข้างหน้าเส้นทางการอพยพจะถูกย้อนกลับ และชาวอเมริกันจำนวนมากอาจต้องการย้ายไปประเทศอื่น    ภายใน 10 ปีสหรัฐอเมริกาจะล่มสลายหรือไม่? ゚ สิ่งนี้ฟังดูเหมือนนิทานอาหรับราตรี ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เช่นเดียวกับการสลายตัวของสหภาพโซเวียต ในตอนนั้น มันเกินความคาดหมายของผู้คน อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเสมอ! คุณไม่มีทางรู้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นการล่มสลายและการสลายตัวของสหรัฐอเมริกาโดยเนื้อแท้ แล้วแต่สวรรค์จะเป็นอะไร? ภาพยนตร์เรื่อง “Loying Gorge” ที่ถ่ายทำในปี 1971 มีการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับสวรรค์และมนุษยชาติ “ความดีและความชั่วจะได้รับการตอบแทน

“ชาติบ้านเมืองและหน่วยงานทางการเมืองก็เหมือนกับบุคคล หากทำสิ่งเลวร้ายไม่เลิกก็จะได้รับการแก้แค้นจากพระเจ้าด้วย  สหรัฐอเมริกา? ตามคำพูดของคนทั่วไป ไม่ได้ทำสิ่งที่ดีงามเลย ในช่วง 200 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ ที่ชอบกำหนดเจตจำนงของตนเองบังคับต่อชาติอื่น ชาติที่ชอบที่จะทำลายชาติอื่น องค์กรทางการเมืองที่ขยายไปทุกหนทุกแห่ง ครอบงำผู้คนและอวดความแข็งแกร่งไปทุกหนทุกแห่ง ในที่สุดก็จะมีวันแห่งความเหนื่อยล้า  บางทีนี่อาจเป็นกฎแห่งประวัติศาสตร์มากกว่า!  ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ความเป็นจริงหรือตรรกะ สหรัฐฯดูเหมือนจะ “รุดหน้าสู่ความหายนะ”

โดย: Kobayashi Koichi มหาวิทยาลัยนาโกย่า