จากกรณีที่เมื่อวานนี้ที่ 28 ม.ค. 64 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาได้ร่วมประชุมวิปฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานในที่ประชุม
โดยได้มีหารือกันถึงความไม่สบายใจของหลายฝ่าย เกี่ยวกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ยื่นมาก่อนหน้านี้ และมีข้อความ “ไม่ยึดมั่นและศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำลายและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง”โดยในที่ประชุม ประธานสภาฯระบุว่าไม่ได้เป็นการบังคับ เพราะถึงแม้ว่าฝ่ายค้านจะไม่แก้ไขก็บรรจุญัตติตามขั้นตอนอยู่แล้ว แต่ทางนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน ขอรับไปแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าว
นายสิระ กล่าวต่อว่า ในส่วนของข้อมูลในการอภิปรายเปิดกว้างให้สามารถอภิปรายได้ แต่ขอให้อย่ามีข้อความที่เกี่ยวข้องกับสถาบันมาอ้างถึงในญัตติ เพราะมีความไม่เหมาะสม โดยส่วนว่าจะแก้ไขอย่างไรนั้น ถือเป็นดุลยพินิจของทางฝ่ายค้านที่จะไปแก้ไข ซึ่งในที่ประชุมก็มีตัวแทนของพรรคก้าวไกลรับทราบด้วย
“ผมขอขอบคุณฝ่ายค้านที่ยอมแก้ไขญัตติ และขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือ เพื่อทำให้ประชาชนและสังคมสบายใจกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้”นายสิระ กล่าว
ล่าสุดวันนี้ 29 ม.ค. ุ6 ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรยืนยันจะไม่มีการแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า จากการที่มีการละเมิดและพาดพิงสถาบันในญัตติ ซึ่งก่อนหน้านั้นผู้นำฝ่ายค้าน บอกว่าเห็นญัตติแล้วก็มีความไม่สบายใจ และจะกลับไปแก้ไขญัตติ และยังมีการปรึกษาว่าจะแก้ไขได้ด้วยวิธีไหน แต่เมื่อออกนอกห้องประชุมกลับตระบัดสัตย์ ไม่แก้ถ้อยคำทุกตัวอักษรในญัตตินี้ ตนถือว่าตระบัดสัตย์จากที่รับปากไว้กับนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และบอกไว้ในที่ประชุม อยากถามว่ายังเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่มีความซื่อสัตย์อยู่หรือไม่ และคำพูดยังน่าเชื่อถืออยู่หรือไม่
ทั้งนี้ หากมีการยื่นและบรรจุญัตติ ถือว่านายสมพงษ์สร้างประวัติศาสตร์ของสภาผู้แทนราษฎร ที่ปล่อยและเปิดโอกาสให้ส.ส.จาบจ้วงสถาบันในที่ประชุมรัฐสภา เป็นการดึงฟ้าลงมาต่ำให้เล่นการเมือง ซึ่งสถาบันต้องไม่ยุ่งกับการเมือง และมีเจตนาอะไร อยากถามว่าดึงมาทำไม
“ถ้ามีการยื่นและบรรจุญัตติ ฝ่ายกฎหมายของผมจะดำเนินการฟ้องร้องมาตรา 112 กับนายสมพงษ์และส.ส.ที่ร่วมลงชื่อในญัตติ ซึ่งต้องรอให้มีการบรรจุระเบียบวาระก่อน เพื่อให้มีหลักฐานว่าการบรรจุระเบียบวาระได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว” นายสิระ กล่าว
นายสิระ กล่าวว่า ส่วนเรื่องข้อบังคับการประชุมก็มีความชัดเจนว่าผิดข้อบังคับ เพราะต้องไม่นำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอภิปราย รวมถึงบุคคลภายนอก บรรจุวาระต้องดูว่าหากประธานรัฐสภาบรรจุวาระ และดูข้อบังคับให้ละเอียดถี่ถ้วน ตนจะมีการยื่นอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่าจะในสภาหรือนอกสภา ซึ่งฝ่ายกฎหมายของตนได้พิจารณาแล้วว่าเรื่องนี้น่าจะผิดรัฐธรรมนูญ และจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความว่าญัตติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
“อยากให้ประชาชนดูว่าฝ่ายค้านชุดนี้ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเล่นการเมือง ไม่นึกถึงความเสียหายของสถาบัน ถามว่าไม่จงรักภักดีกันแล้วใช่หรือไม่ ขอให้ประชาชนช่วยกันดู ส่วนผมจะทำหน้าที่ไม่ว่าทั้งใน และนอกสภา เพื่อคัดค้านญัตตินี้ ไม่ให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เกิดขึ้นได้ อยากถามว่าฝ่ายค้านไม่มีเรื่องอื่นแล้วหรือที่จะตรวจสอบรัฐบาล ไม่ว่าเรื่องรัฐมนตรีคนใดทุจริตประพฤติมิชอบ เลยดึงฟ้าลงมาเล่น หมดมุขหมดปัญญาแล้วใช่หรือไม่ ผมได้ข่าวว่าฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย มีเงินหรืออะไรบ้างตกลงมาบ้างในการอภิปรายครั้งนี้ ซึ่งผมจะทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์สถาบัน” นายสิระ กล่าว
เมื่อถามว่า ฝ่ายกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วว่าสามารถบรรจุญัตตินี้ได้ นายสิระ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของตนพิจารณาแล้วว่าผิดข้อบังคับและขัดรัฐธรรมนูญ มีการจาบจ้วงสถาบันดึงฟ้าลงมาต่ำ ก็อยากถามว่าแบบนี้ผิดหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจน ว่าพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ถามว่าเป็นการอภิปรายบุคคลภายนอกหรือไม่ เมื่อญัตติมีเรื่องของสถาบัน แต่สถาบันไม่ได้อยู่ในสภา
ถามอีกว่าฝ่ายค้านยืนยันจะใช้ถ้อยคำกล่าวถึงสถาบันให้น้อยที่สุดและดีที่สุด นายสิระ กล่าวว่า ถ้ามีญัตติบรรจุเรื่องของสถาบันจะไม่กล่าวถึงก็คงเป็นไปไม่ได้ ถามว่าแล้วจะพูดถึงอย่างไร จะบูชา จะเคารพอย่างนั้นหรือ เชื่อว่าจะเป็นการพูดอีกมุมหนึ่ง ซึ่งนายสมพงษ์เปิดโอกาสให้มีคนมาจาบจ้วงสถาบันใช่หรือไม่ และมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ