นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “อัษฎางค์ ยมนาค” โดยมีเนื้อหาระบุถึงเรื่องวัคซีนพระราชทาน ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้กล่าวโจมตีไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเนื้อหาดังนี้…
“วัคซีนพระราชทาน คำให้ร้ายในหลวงของตี๋หนึ่ง ที่มักแสดงความหวังดีแต่ความจริงประสงค์ร้าย”
คำว่าวัคซีนพระราชทาน ตามภาษาชาวบ้านน่าจะต้องหมายถึง การที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นตัวตั้งตัวตีในการสั่งซื้อ ผลิตและจำหน่ายจ่ายแจก
แต่ความเป็นจริงที่ตี๋หนึ่งไม่พูด ซึ่งอาจจะมาจากการหวังดีประสงค์ร้าย หรือไม่รู้จริงแต่ชอบพูดให้ร้าย คือ…
วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งได้รับการวิจัยและพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดร่วมพัฒนากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จากประเทศอังกฤษนั้นเป็นผู้เลือก บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ให้เป็นฐานการผลิตวัคซีน ป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 โดยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซเนก้าใช้เทคโนโลยีในการผลิตใกล้เคียงกับ การผลิตยาชีววัตถุจากเซลล์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ซึ่งสยามไบโอไซเอนซ์ มีประสบการณ์ในการผลิตยาชีววัตถุด้วยเทคโนโลยีนี้ สิ่งที่สยามไบโอไซเอนซ์ ต้องทำคือ การปรับแผนการผลิตยาชีววัตถุเดิม เพื่อการผลิตวัคซีนให้ได้ตรงตามมาตรฐานของแอสตร้าเซเนก้าในเวลาอันรวดเร็วที่สุด
เพราะฉะนั้น จะปลุกปั้นผู้คนด้อยปัญญาว่า เป็นวัคซีนพระราชทาน ที่ใช้เงินจากภาษีของประชาชน แต่ให้เครดิตเป็นวัคซีนพระราชทานนั้น คือการให้ร้ายกันอย่างชัดเจน
ถึงแม้สยามไบโอไซเอนซ์จะมีในหลวงถือหุ้นบริษัท แต่วัคซีนตัวนี้มาจากประเทศอังกฤษ ไม่ใช่จากสถาบันพระมหากษัตริย์ และบริษัทจากอังกฤษเป็นผู้คัดเลือกสยามไบโอไซเอนซ์ด้วยตนเอง เพราะเล้งเห็นถึงประสิทธิภาพของบริษัท รวมทั้งเห็นว่าเป็นบริษัทที่ไม่ได้มุ่งหวังผลกำไร แต่เป็นกิจการที่มุ่งหวังในการช่วยเหลือสังคม ซึ่งการที่แอสตร้าเซนเนก้าเลือกสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นบริษัทผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19 นี้ ยังจะช่วยให้ไทยสามารถผลิตวัคซีนใช้ได้เอง โดยไม่ต้องหวังพึ่งวัคซีนจากต่างประเทศอีกด้วย
มาทำความเข้าใจกับวัคซีนกันหน่อยตี๋หนึ่ง
การฉีดวัคซีน เป็นการกระตุ้นให้คนสร้างภูมิคุ้มกัน แต่…
การมีภูมิคุ้นกันไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันโรคได้ 100% รวมทั้งวัคซีนโควิด 19 ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่ข้อมูลใด ๆ ที่สามารถยืนยันว่าป้องกันการติดเชื้อและการแพร่เชื้อโควิดได้ แต่….
สิ่งที่สามารถบอกได้เมื่อฉีควัคซีนคือ โอกาสติดเชื้อน้อยลง โอกาสป่วยน้อยลง ถ้าเกิดติดเชื้อและป่วยก็จะมีอาการไม่รุนแรง หายป่วยไว รวมทั้งโอกาสเสียชีวิตน้อยลง กว่าการไม่ฉีดวัคซีน
ผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดของอังกฤษ ร่วมพัฒนากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ในช่วงแรกมีข่าวว่ามีประสิทธิภาพเฉลี่ยอยู่ที่ 70% ซึ่งปัจจุบันบางข่าวแจ้งว่าเกือบ 90% ซึ่งในทางการแพทย์ วัคซีนใด ๆ ที่มีประสิทธิภาพ 50% ขึ้นไป ไม่ว่าจะ 70 หรือ 90 ก็ถือว่าผ่านมาตรฐานและใช้ได้เหมือนกัน เช่นวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดที่เราใช้กันมานานแสนนานก็มีประสิทธิภาพเพียง 50% เท่านั้น
ผู้ที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อน คือ บุคลลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน สาเหตุที่ต้องฉีดให้กับคนเหล่านั้นก่อนเพราะบุคลากรทางการแพทย์ มีหน้าที่ต้องดูแลผู้ป่วย ส่วนผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวนั้นถ้าติดเชื้อโควิดมักมีอาการรุนแรงถึงชีวิต
ดังเช่นที่ในช่วงแรกมีข่าวว่ารัฐบาลสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวค นั้นก็ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อใช้ป้องกันหรือควบคุมโควิด แต่เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานอยู่กับป่วย อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีการฉีดวัคซีนแล้ว เราก็จะยังคงประมาทไม่ได้อยู่ดี เพราะวัคซีนไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะมันไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อและการระบาดได้ 100% เพราะฉะนั้นที่เรายังคงต้องทำต่อไปคือ ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ และอยู่ห่าง แบบนี้ไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี ซึ่งมาตรการนี้ อาจจะให้ผลดีและน่าเชื่อถือกว่าวัคซีนตัวไหน ๆ ในโลกในขณะนี้เสียอีก
ทั้งนี้การให้ร้ายสถาบันฯอย่างชัดเจน ที่นายธนาธร ได้กระทำมาตลอดนั้น ตรงกับคำพูดของ นางสาวทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี และอดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่ระบุว่า “นายธนาธร ควรหยุดสร้างพื้นที่ข่าวให้ตนเอง สร้างความวุ่นวายให้คนทำงาน ควรปล่อยให้แพทย์และคนทำงานได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ เพราะกระบวนการการจัดหาวัคซีนมีผลต่อความปลอดภัยในชีวิตของคนไทย แต่นายธนาธรกลับไปนำชุดข้อมูลต่างๆ มาปะติดปะต่อแบบคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง แล้วตั้งคำถามจากสมมติฐานที่อคติ ไม่สร้างสรรค์ เพื่อความสะใจของตนเอง
วันนี้บริษัทแอสตร้าเซเนก้า ออกมาชี้แจงเองแล้ว หากนายธนาธรยังไม่หยุด ยังไม่เข้าใจ หรือไม่พยายามที่จะเข้าใจ ประชาชนก็จะตาสว่างเองว่าเจตนาของนายธนาธรคืออะไร นายธนาธรทำไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ หรือแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองบนความเป็นความตายเพื่อบรรลุเป้าหมายในการโจมตีสถาบันอย่างอำมหิตที่สุดกันแน่”