จากกรณีที่ มีรายงานว่า นายฐากูร บุนปาน รองประธานเครือมติชน เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่บ้านพัก ด้วยวัย 59 ปี หลังจากล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่ปี 2562
สำหรับนายฐากูรนั้น เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกและพัฒนาเครือมติชน ทั้งมติชน ข่าวสด และประชาชาติ มีความยึดมั่นในความสุจริต อุดมคติของวิชาชีพสื่อ สนับสนุนหลักการและทิศทางประชาธิปไตย
ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า มติชน นั้นเป็นสื่อที่นำเสนอข่าวสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มม็อบคณะราษฎร ทั้งยัง นำเสนอข่าว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และคณะก้าวหน้า อยู่เสมอ
ทั้งนี้ หากลองย้อนดูพบว่า มีคำถามทั้งในวงการสื่อสารมวลชนและผู้ติดตามสื่อทั่วไปว่าทำไม มติชนเลือกข้างยืนหยัดในกลุ่มเสื้อแดง สนับสนุนแนวทางนี้ตั้งแต่มีรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร จนถึงยุคน้องสาว อีกทั้งในยุดปัจจุบัน มติชน ทำตัวเป็นสื่อเลือกข้างสนับสนุน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทางการเมืองอย่างโจ๋งครึ่ม
แต่พอเข้าไปดูโครงสร้างผู้ถือหุ้น มติชน (MATI) ก็พบว่า สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 จำนวนถึง 35,836,000 หุ้น หรือ 19.33% ของหุ้นทั้งหมด และนายธนาธร เข้าไปเป็นกรรมการ(บอร์ด) บริษัท ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2556 ก่อนจะลาออกเพื่อมาตั้งพรรคการเมือง
ในคำลาลับจากการเป็น “บอร์ดมติชน” เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2561 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวในช่วงท้ายว่า “หากต่อไปมติชนจะสนับสนุนผม ให้การสนับสนุนนั้นเป็นไปด้วยจุดยืนและการกระทำของผม ไม่ใช่เป็นเพราะเราเคยมีสัมพันธ์กัน ผมหวังว่าเส้นทางอนาคตข้างหน้าของเราจะกลับมาพานพบกันในวันที่สังคมไทยได้มาซึ่งประชาธิปไตย” และวันนี้การนำเสนอข่าวสารทางการเมืองของ “เครือมติชน” คงเป็นสิ่งประจักษ์ยืนยันแล้วว่าได้สนับสนุนทายาทผู้ถือหุ้นอันดับ 2 อย่างเต็มกำลัง
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Pannika Chor Wanich แสดงความอาลัยต่อการจากไปของนายฐากูร บุนปาน รองประธานกรรมการเครือมติชน ใจความว่า
“พี่โต้งคะ
เราไม่ได้เจอกันนานเลย ตั้งแต่พี่โต้งเริ่มป่วยเยอะ เลยไม่ค่อยได้ออกงาน ส่วนช่อก็ยุ่งกับงานหาเสียงโค้งสุดท้าย จนมารู้อีกที พี่โต้งก็จากไปเสียแล้ว
ช่อเคยให้สัมภาษณ์สื่อไปนับครั้งไม่ถ้วน ถึงเหตุการณ์ที่ชักนำช่อมาอยู่บนเส้นทางการเมือง ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2561 บทสนทนาที่ห้องสมุดบ้านธนาธร ไวน์นับสิบขวด และการรวมตัวของสื่ออาวุโสที่มานั่งวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองกันว่า พรรคตั้งใหม่ที่เปิดหน้าชนคสช. จะไปรอดหรือไม่ และจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้สักแค่ไหน
แต่ที่ช่อไม่เคยเล่าที่ไหน ก็คือพี่โต้งเป็นหนึ่งในคนที่นั่งอยู่ในวงนั้นด้วย
บทสนทนาลากยาวจากค่ำจนถึงเช้ามืดของอีกวัน สหายสื่ออาวุโสทยอยกันกลับ จากนับ 10 เหลือเพียง 4-5 คนที่อยู่จนถึงเลิกวง พี่โต้งเป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ใช่เพราะคอแข็ง หรือดื่มสุขุมกว่า แต่เพราะพี่โต้ง “เป็นห่วง” มากกว่าทุกคน วันนั้นสมาชิกส่วนใหญ่ในวงลงความเห็นว่าเสี่ยงเกินไป และไม่มีประโยชน์ที่จะตั้งพรรคท่ามกลางกฎเกณฑ์ที่ไม่เอื้ออำนวย พี่โต้งเองก็ดูจะเห็นไปทางนั้น แต่กลับไม่ได้ห้ามปราม เพียงแต่ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าสิ่งที่อาจเกิดกับพรรคใหม่ คืออะไรบ้าง
อาจเพราะพี่โต้งรู้ดีในฐานะอดีตเพื่อนร่วมงาน ว่าคนอย่างธนาธร เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วก็ไม่มีใครห้ามได้
วันนั้นอ.ป๊อกชักชวนช่อด้วยประโยคชวนโมโหว่า “คนมีความสามารถอย่างคุณช่อไม่ควรเป็นแค่นักข่าว มาทำงานการเมืองกับพวกเราเถอะ”
ช่อตอบกลับไปว่า “คิดว่านักข่าวทำอะไรได้น้อยหรือคะ ถ้างั้นอาจารย์การันตีได้มั้ยว่าถ้าช่อไปอยู่พรรคนี้ จะทำอะไรให้ประเทศได้มากกว่าเป็นนักข่าว”
เวลาเกือบ 3 ปี พิสูจน์แล้วว่า “ช่อ” ที่เป็นนักการเมือง ได้ทำอะไรให้ประเทศนี้มากกว่าตอนเป็นสื่อมวลชน
แต่พี่โต้งคะ
พี่โต้งเป็นคนที่พิสูจน์ว่า สื่อมวลชนเองก็ไม่ได้ทำอะไรได้น้อยกว่านักการเมืองเลย หากเขาเป็นสื่อที่แน่วแน่ในจรรยาบรรณ มุ่งมั่นในการนำเสนอข่าวสารที่เป็นไฟส่องทางสังคม
เราต่างทำคนละบทบาท แต่มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน
ตั้งแต่ช่อมาทำงานการเมือง ในบทบาทโฆษก ก็ได้รบกวนพี่โต้งอยู่เสมอ ทั้งขอคำแนะนำ สอบถามข้อมูล ไปจนถึงขอความเห็นในฐานะสื่ออาวุโส ว่าการเมืองในขณะนั้นจะออกหน้าไหน และทุกครั้งพี่โต้งก็ช่วยเหลือช่ออย่างเต็มที่
ในฐานะสื่อที่สะท้อนความต้องการของสังคมสู่นักการเมือง
ในฐานะสหายอาวุโสที่ชี้แนะผู้อ่อนประสบการณ์กว่า
ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่อยากเห็นประเทศก้าวหน้า สู่อนาคตใหม่ที่ดีกว่า
อีกหลายครั้ง พี่โต้งเจอช่อทีไรก็มักฝากคำเตือน ข้อคิดเห็น ไปถึงคุณเอก ถึงอ.ป๊อก ที่มักงานยุ่งจนไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน เจองานฝากแบบนี้ทีไร ช่อก็นึกขำในใจทุกครั้งว่า พี่โต้งคงเป็นห่วงกลัวเด็กๆอย่างพวกเราจะเอาตัวไม่รอด เจอทีไรต้องมีเทศนาทุกครั้งไป
วันนี้ไม่มีพี่โต้งมาคอยเป็นห่วง คอยเตือนพวกเราแล้ว
เวลา 3 ปีพาเรามาไกล พาประเทศไทยมาไกล แต่ยังไม่ถึงฝันที่พี่โต้งอยากเห็น ประเทศไทยที่ก้าวหน้า เท่าเทียม และเป็นประชาธิปไตย ยังเป็นภารกิจที่พวกเราจะเดินหน้าทำต่อไป คงต้องระมัดระวังขึ้น ต้องเตือนตัวเองมากขึ้น เพราะ
ขาดคนคอยหยิกหู ดึงชายเสื้อ คอยเทศนาพวกเราไป 1 คน
ฝันของเรา จะเป็นจริงให้ได้ พี่โต้งคอยดูนะคะ
ช่อ.”