จากที่ นายจตุพร ประกาศว่า ควรจะยุติองค์กร นปช.ให้เป็นตำนาน ย้ำเป็นคนเดิม ทั้งยังจ่อดำเนินคดีกับนักเลงคีย์บอร์ด กรณีใส่ร้ายไปอยู่กับเผด็จการด้วยนั้น???
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ส่งท้ายปี 2563 โดยมีบางช่วงที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า การต่อสู้กับเผด็จการ สู้ไปสู้มา กลายเป็นตนถูกผลักไปอยู่ร่วมกับเผด็จการ ซึ่งเป็นข้อหาที่มีความรุนแรงมากที่สุด
โดยอ้างเรื่องเชียงใหม่ที่ไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. ดังนั้นทุกเรื่องราวเมื่อมีการโจมตีใส่ร้ายตน ตนก็ลุกขึ้นต่อสู้ตามวิถีทางที่ต่อสู้มาตลอดชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความถูกต้องและความดีงามทั้งหลาย
นอกจากนี้ประธานนปช. ยังระบุถึงวันที่เดินลงมาสู่บนท้องถนนอย่างจริงจังหลังจากการยึดอำนาจปี 2549 จากนปก.จนกระทั่งนปช. ตนไม่เคยคิดที่จะอยากเป็นประธาน นปช.แม้แต่วันเดียว
ล่าสุด นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำนปช. กล่าวถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. มีแนวคิดจะยุบนปช.ว่า นปช.ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นองค์กรต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อความยุติธรรมมาตรฐานเดียว ซึ่งนปช.ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ขณะนี้ยังอยู่ในสภาพเผด็จการซ่อนรูปและความยุติธรรมยังหลายมาตรฐานอยู่ จะมายุบองค์กรทิ้ง เลิกต่อสู้ ทั้งที่เวลาผ่านมานับสิบปี มวลชนและแกนนำต่างเสียสละมากมาย ทั้งด้วยชีวิต ติดคุก ทรัพย์สินเงินทอง การต่อสู้ของนปช.เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและระดับสากล แล้วจะมาชวนยุบทิ้งนั้น ตนยอมรับว่างง ทำไมถึงต้องเลือกหนทางนี้ ทั้งที่จริงแกนนำแต่ละคนก็เป็นเสรีชน ถ้าใครเหนื่อยหรือเบื่อหรือมีอุปสรรคในการทำงาน ไม่สามารถเป็นแกนนำต่อได้ ก็สามารถหยุดพักได้ตามสะดวก
แม้ทุกวันนี้แกนนำนปช.มีการแตกเป็น 2 กลุ่ม อันเนื่องมาจากที่คุณจตุพรตัดสินใจจับมือกับพรรคพวกตั้งพรรคเพื่อชาติ ซึ่งแกนนำหลายคน รวมทั้งตนไม่เห็นด้วย ขอเดินต่อกับพรรคเพื่อไทย จนทำให้แกนนำแยกเป็น 2 กลุ่ม แยกทำงานคนละพรรคการเมืองกัน หลังจากนั้น นปช.ก็ไม่เคยมีการประชุมร่วมกันเลย แต่ที่จริงพวกเราก็ไม่ได้แตกแยกกัน ยังเป็นเพื่อนมิตรและสามารถทำงานร่วมกันได้ ส่วนตัวชื่นชมและรักใคร่นายจตุพรในฐานะเพื่อนสนิท เขาเป็นคนที่จริงใจตรงไปตรงมา และรักเพื่อน ตนยังเชื่อมั่นว่านายจตุพรยืนหยัดอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน อย่างที่หลายคนกังขา หรือกล่าวหาโจมตี
“ผมไม่เห็นด้วยกับคุณจตุพรในการขับเคลื่อนทางการเมืองหลายเรื่อง ไม่ว่าการที่อยู่ในฐานะประธานนปช.แต่ไปเยี่ยมพุทธอิสระถึงวัด ทั้งที่พุทธอิสระเป็น 1 ในขบวนการล้มประชาธิปไตย นำพามาสู่การยึดอำนาจ การตั้งพรรคเพื่อชาติโดยไม่หารือกับเพื่อนแกนนำก่อนถึงข้อดีข้อเสีย ทำให้นำไปสู่การที่แกนนำแตกเป็น 2 กลุ่ม 2 พรรค การปราศรัยหาเสียงที่เชียงใหม่แล้วมีการโจมตีผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งการเสนอแนวคิดที่จะยุบ นปช.เพราะภารกิจของนปช.ยังไม่บรรลุเป้าหมายและนปช.ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของแกนนำคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสมบัติของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศ” นายก่อแก้ว กล่าว
นายก่อแก้วกล่าวว่า ในฐานะเพื่อนขอแนะนำว่านายจตุพร ควรนัดประชุมแกนนำนปช.เพื่อหารือแนวทางการเมืองที่ควรจะขับเคลื่อนร่วมกันในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อย แบกต่อไม่ไหว ก็หยุด ไม่ต้องฝืน ปล่อยให้แกนนำคนอื่นๆทำหน้าที่ต่อไป หรือเชิญชวนคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีไฟ มาสานงานขับเคลื่อน นปช ให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ต่อไป
โดยก่อนหน้านี้ นายก่อแก้วได้เคยกล่าวถึงกรณีการลงพื้นที่จ.เชียงใหม่ของนายจตุพร ช่วยนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ หาเสียงนายกอบจ.และกล่าวพาดพิง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ว่า เข้าใจเหตุผลที่นายจตุพร ไปหาเสียงช่วยนายบุญเลิศ เพราะมีความผูกพันกัน นายจตุพรไม่ควรโจมตีพรรคเพื่อไทย เพราะตนและนายจตุพร ต่างเป็นอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ถือว่ามีผูกพันกับพรรคและครอบครัวชินวัตรมายาวนาน การหาเสียงควรหาเสียงกันอย่างสร้างสรรค์ เน้นนโยบายที่จะแก้ปัญหาและพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ให้ดียิ่งๆขึ้นอย่างไร สิ่งที่มวลชนตั้งคำถามเรื่องการไปช่วยนายบุญเลิศ นายจตุพรควรจะชี้แจงด้วยเหตุผล ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าอธิบายได้ ไม่ควรไปตอบโต้ฟาดงวงฟาดงากับมวลชน โดยเฉพาะการขู่ว่าจะฟ้อง ยิ่งไม่ควร การเป็นประธานนปช ต้องทำให้มวลชนและสังคมยอมรับ ทุกอย่างที่มวลชนสงสัย ต้องสามารถอธิบายและชี้แจงให้เข้าใจได้หมด
นายก่อแก้วกล่าวว่า จ.เชียงใหม่ ถือเป็นบ้านเกิดของครอบครัวชินวัตร การที่ครอบครัวชินวัตร เลือกที่จะสนับสนุนใคร เชื่อว่าก็เพราะมั่นใจว่าจะทำงานด้วยกันได้และจะทำตามนโยบายที่แนะนำไว้จึงต้องเคารพ การตัดสินใจลงสมัคร นายก อบจ. ของนายบุญเลิศ อดีตแชมป์เก่า ทางสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ต้องเคารพและแข่งขันหาเสียงกันไปให้ชาวเชียงใหม่ตัดสินใจ ตามระบอบประชาธิปไตย ว่าใครจะสามารถพัฒนาจ.เชียงใหม่ได้
นอกจากนี้ นายก่อแก้ว สมัยที่ยังเป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย เคยปราศรัยว่า “ให้คนไทยปลดรูปที่มีทุกบ้านลง” ตอนนั้นหลายฝ่ายมองว่าเป็นการบ่อนทำลายความเคารพที่ประชาชนมีต่อเบื้องพระมหากษัตริย์ เป็นผู้หมิ่นเบื้องสูงเพราะไม่สมควรพูด สั่งปลดรูปที่มีทุกบ้านแบบนั้น และการกระทำดังกล่าวนั้นทำตอนนั้นประชาชนทั่วประเทศ แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก