เพนตากอนขู่?!? กองกำลังอิหร่านและพันธมิตร อาจโจมตีตะวันออกกลาง หลังสหรัฐถอนทหารจากอิรัก-อัฟกานิสถาน

1861

ทรัมป์สั่งถอนทหารจากอิรักและอัฟกานิสถานก่อนลงจากบัลลังก์ แต่รีพับลิกันบางส่วนคัดค้านประสานเสียงกับนาโต้ ล่าสุดกองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งคำเตือน อิหร่านอาจฉวยโอกาสโจมตีตะวันออกกลาง เมื่อสหรัฐถอนทหารออกจากอิรักและอัฟกานิสถาน แต่แอบส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด ประสานกับยุโรปเข้าพื้นที่ บอกว่าไปคุ้มกัน  จับตาใกล้ครบรอบวันสังหารพลเอกคาเซม สุไลมานี แม่ทัพคนสำคัญของกองทัพปฏิวัติอิสลามเดือนมกราคม 2021 ความหมายแบบไทยอาจกล่าวได้ว่าเป็นการตีปลาหน้าไซ หรือดักหน้าอิหร่านของมหาอำนาจตะวันตก หรือที่จริงสหรัฐมีแผนการอะไรมากกว่านั้น

ทรัมป์สั่งถอนทหาร?

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ 17 พ.ย. 2563 ว่า กองทัพสหรัฐฯ จะลดกำลังทหารที่ประจำการในประเทศอิรักลง 500 นาย ให้เหลือ 2,500 นาย และลดเจ้าหน้าที่ในอัฟกานิสถานจาก 4,500 นาย เหลือ 2,500 นาย

นายคริส มิลเลอร์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การตัดสินใจล่าลุดสะท้อนนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะนำสงครามในอัฟกานิสถานและอิรักไปสู่ชัยชนะ, นำไปสู่บทสรุปอย่างมีความรับผิดชอบ และเพื่อพาทหารกล้าของสหรัฐฯ กลับบ้าน

รุ่งขึ้นวันที่ 18 พ.ย.2563 นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ได้ออกมาแสดงความหวั่นวิตกในเรื่องนี้ โดยออกแถลงการณ์เตือนว่า “อาจมีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก สำหรับการถอนกำลังทหารอเมริกันออกจากอิรักและอัฟกานิสถานเร็วเกินไป หรือในวิธีที่ไม่มีการประสานความร่วมมือกัน” พร้อมกันนั้นเลขาฯนาโต ยังเตือนด้วยว่า อัฟกานิสถานเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นฐานของกลุ่มติดอาวุธระหว่างประเทศเพื่อจัดตั้งองค์กรในการสร้างเหตุรุนแรงโจมตีอีกครั้ง

เตือนเกิดอะไรขึ้นที่ตะวันออกกลางเป็นเพราะอิหร่าน?

เพนตากอนแสดงความวิตกว่าเตหะรานอาจฉวยโอกาสจากการถอนกำลังทหารสหรัฐออกจากอิรักและอัฟกานิสถาน ซ่องสุมกำลังกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงก่อเหตุร้ายได้ ทั้งนี้แหล่งข่าวระดับสูงผู้ไม่ประสงค์ออกนามจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ กล่าวกับสนข.โพลิติโกว่า ทางเพนตากอนจับตาตัวชี้วัดความเป็นไปได้ที่อิหร่านเตรียมโจมตีในอิรัก โดยเฉพาะช่วงครบรอบสังหารนายพลสุไลมานี

กลุ่มสนับสนุนอิหร่านเพิ่งแสดงแสนยานุภาพอาวุธสงคราม หลังจากที่อิหร่านได้เคยยิงขีปนาวุธบอลลิส ติกไปที่ฐานทัพ เอียน อัล อัสซาด ทางตะวันตกของอิรัก ต้นปี ตอบโต้กรณีสหรัฐโดยทรัมป์ สังหารนายพลคัสเซม สุไลมานีเดือนมกราคม 2563 และทหารอเมริกันได้รับบาดเจ็บทางสมองนับ 100 นาย (ช่วงนั้นสหรัฐปฏิเสธว่าทหารสหรัฐปลอดภัย มีแต่อาคารเสียหายเท่านั้น)

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 ธ.ค.2563 เพนตากอนได้ยอมรับว่า ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 จากฐานทัพในบาร์คสเดล หลุยเซียนา ไปยังตะวันออกกลางเพื่อคุ้มกัน การถอนทหารในอิรักและอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ได้ส่งเครื่องบินขนส่ง ยูเอสเอส นิมิตซ์ รวมทั้งเครื่องบินเจ็ต สควาดรอนจากยุโรป ไปยังตะวันออกกลางด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันอิหร่านปฏิบัติการตอบโต้สหรัฐฯและพันธมิตร

การวางกำลังเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐ เป็นการแสดงพลังที่มีอิหร่านเป็นเป้าหมายโดยตรง ในช่วงเวลาที่สหรัฐลดกำลังพลภาคพื้นดินในอิรัก, อัฟกานิสถานและซูดาน ตามแผนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไว้ เครื่องบิน 2 ลำนี้บินขึ้นจากฐานทัพอากาศบาร์คส์เดลในหลุยเซียนาโดยใช้เวลาบิน 36 ชั่วโมง ข้ามยุโรปและคาบสมุทรอาหรับมายังอ่าวเปอร์เซีย โดยบินอ้อมใกล้กาตาร์ แต่เว้นระยะห่างที่ปลอดภัยจากชายฝั่งของอิหร่าน ภารกิจนี้มีเครื่องบินจากซาอุดีอาระเบีย, บาห์เรน และกาตาร์ บินไปพร้อมกันในน่านฟ้าของประเทศเหล่านี้ด้วย

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวชี้วัด ความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะตอบโต้ในภูมิภาคนี้” เจ้าหน้าที่กล่าว และย้ำว่าการเคลื่อนไหวนี้ “ไม่ก้าวร้าว” “ไม่มีแผนการต่อสู้ แต่เป็นแผนการป้องกันตนเองอย่างเข้มแข็ง และพร้อมหยุดยั้งปฏิบัติการฝ่ายศัตรู”

ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงออกของกองทัพสหรัฐต่อประเทศพันธมิตรว่า เป็นการขึ้นบินของเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบฉุกเฉิน “บอกกระชั้นชิด-ไม่หยุด” ตามคำประกาศจากทางการสหรัฐที่ว่า “เป็นความสามารถในทางยุทธศาสตร์ของเครื่องบินทิ้งระเบิดข้ามโลกแบบไม่หยุดพัก และการประสานพันธมิตรในการปฏิบัติการเพื่อความมั่นคงในภูมิภาค” ผู้บัญชาการส่วนกลางกองทัพสหรัฐ พลเอก แฟรงค์ แมคเคนซีกล่าว

ในพื้นที่อิรัก และอัฟกานิสถานจะไม่ได้รับกระทบด้านลบแต่อย่างใด เมื่อเกิดการสู้รบกับอิหร่านในพื้นที่ การที่สหรัฐเคลื่อนกำลังทหารออกจากภูมิภาค ก็ทำให้เป้าหมายการทำลายล้างของอีกฝ่ายมีจำนวนน้อยลงด้วย

“เราไม่ต้องการหาเรื่อง สร้างความขัดแย้ง” แมคเคนซีกล่าว “แต่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือความไม่แน่นอนที่ไม่คาดคิดหรือ ความรุนแรงทุกรูปแบบ”