สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ เกิดการปะทะของม๊อบแนวคิดสุดโต่งสองขั้ว จากการประท้วงเดือดต่อเนื่องมากว่า 100 วัน กรณีต้านเหยียดผิวในนาม Black Lives’ Matter ได้ลุกลามเป็นความขัดแย้งเมื่อ กลุ่มสนับสนุนปธน.โดนัล ทรัมป์ ลงถนนเผชิญหน้ากลุ่ม BLM ในหลายเมือง ทำให้มลรัฐใหญ่ทั้งจอร์เจีย มิชิแกน และออไรกอน เกิดการปะทะต่อสู้กันของสองกลุ่ม บางแห่งมีเสียงปืนดังแต่ยังไม่มีรายงานความสูญเสีย
กลุ่มสนับสนุนปธน.ทรัมป์ เรียกตัวเองว่า “Proud Boys’ ถือธง “Federations” ที่กลุ่มต้านเหยียดผิวถือว่า เป็นสัญลักษณ์ชัยชนะของนายทาส คือการกดขี่เหยียดหยาม
แต่กลุ่มผิวขาวที่สนับสนุนทรัมป์ฯถือเป็นประวัติศาสตร์ของความภาคภูมิใจ ขณะที่กลุ่มต้านการเหยียดผิว ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนผิวสี ทั้งเชื้อสายอาฟริกัน ฮิสแปนิค ละตินฯ จะสวมเสื้อยืดสัญลักษณ์ BLM ถ้าเดินขบวนสวนกันก็จะตะโกนด่าทอ ทะเลาะวิวาท และลงมือทำร้ายกันในที่สุด
ที่พอร์ตแลนด์, มลรัฐออไรกอน ขณะผู้ชุมนุมต่างขั้วปะทะกัน มีเสียงปืนเกิดขึ้น ซึ่งทีวีท้องถิ่นได้บันทึกภาพเหตุการณ์และแสดงหลักฐานปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายอื่นๆ
ในเมืองมิชิแกน ผู้ชุมนุม BLM ซึ่งเป็นคนอเมริกันผิวขาวให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ชุลมุนก่อนตำรวจปราบจราจลจะมาระงับเหตุว่า “ความรุนแรงเริ่มขึ้น แค่ 7 นาทีได้ที่ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันแล้วพุ่งเข้าหากันชุลมุน ระหว่างกลุ่ม BLM และพวก “Proud Boys”
ที่แอตแลนตา การประท้วงยังดำเนินอยู่มีผุ้เข้าร่วมมากขึ่น ผู้ชุมนุมยึดบริเวณหลักจารึกหินก้อนใหญ่สลักรูปผู้นำสร้างเมือง โดยผู้ประท้วงถือเป็นสัญลักษณ์ของนายทาสผู้กดขี่
การชุมนุมประท้วงต้านเหยียดผิว “Black Lives’ Matter” ดำเนินมามากกว่า 100 วันแล้วด้วยการสนับสนุนของนักการเมืองฝั่งเดโมแครตอย่างเปิดเผย ล่าสุด โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งเดโมแครต ได้ตัดสินใจเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่ขวัญ คือ วุฒิสมาชิกแห่งเดโมแครต นางคามาลา แฮร์ริส ซึ่งเป็นชาวอเมรันเชื้อสายจาไมกา-อินเดีย และเป็นผู้นำกลุ่มสนับสนุนการชุมนุมต้านเหยียดผิวอย่างออกหน้าออกตา ทั้งนี้ไบเด็นหวังคะแนนเสียงจากกลุ่มคนผิวสีอย่างชัดเจน
เมื่อการต่อต้านยืดเยื้อยาวนาน ทำให้ซ้ำเติมปัญหาผลกระทบการระบาดโควิด-19 ทั่วสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะชะลอตัวลงทั้งจำนวนคนติดเขื้อ และคนเสียชีวิตในเชิงภาพรวม แต่ในบางรัฐเกิดการระบาดระลอกใหม่ ทำสถิติกลับมาพุ่งอีก และส่งผลให้ต้องประกาศปิดเมืองอีกครั้งในบางรัฐ เช่นเท็กซัส, แตลิฟอร์เนีย
ล่าสุดสหรัฐยังอ่วม ติดไวรัสสายพันธ์ใหม่โควิด-19 เป็นอันดับ 1 ของโลก ผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจำนวน 5,566,632 ราย เสียชีวิต 173,128 ราย