ที่ทำการคณะก้าวหน้า ชั้น 5 อาคารไทยซัมมิท น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)
สั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนกรณีคณะก้าวหน้ามีการกระทำเข้าลักษณะเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 111 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง หรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราโดนใช้คดีความข่มขู่และปิดปาก ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของคณะก้าวหน้า
นั่นหมายความว่ารัฐบาลกำลังประเมินว่าคณะก้าวหน้าประสบความสำเร็จในการทำงานทางการเมือง และเห็นว่าเรามีโอกาสสูงที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งท้องถิ่น จึงใช้มุกเก่าๆ ทำให้เรามีประสิทธิภาพหาเสียงช้าลง แต่เรื่องนี้ไม่สามารถหยุดยั้งการหาเสียงของเราได้ทั้ง 42 จังหวัด และเชื่อมั่นว่าในประชาชนใน 42 จังหวัด ต้องการความเปลี่ยนแปลง ซึ่ง กกต. ควรจะมาขอบคุณเรา ที่ทำให้ประชาชนตื่นตัวในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ เพราะเห็นแค่ กกต. ทำงานขึ้นป้ายตามสถานที่ต่างๆ เราก็ยังไม่เห็นงานอื่น
เมื่อถามว่าผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่นในนามคณะก้าวหน้ามีความกังวลหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เรายืนยันกับผู้สมัครของเราทุกคนว่าเราทำถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกยังอยู่คงอยู่ทุกประการ เราทุกคนขึ้นทะเบียนผู้ช่วยหาเสียง
ตามที่ กกต.ยืนยันเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของกฎหมาย สุดท้ายหาก กกต.จะเอาผิดเราจริงๆ ก็อยากทราบว่าจะเอาข้อกฎหมายใดมาเอาผิด การเลือกตั้งท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง กลุ่มต่างๆ สามารถส่งผู้สมัครลงได้เช่นเดียวกับคณะก้าวหน้า ในการเลือกตั้งท้องถิ่นมีหลายกลุ่ม คณะก้าวหน้าก็เป็นหนึ่งในกลุ่ม ถ้าคณะก้าวหน้าถูกดำเนินคดี ประชาชนจะเห็นอย่างไร ประชาชนทุกคนสามารถที่จะรวมกลุ่มและขับเคลื่อนทางสังคมได้ ซึ่งต้องถามทาง กกต. ว่าคณะก้าวหน้ามีการกระทำอะไรที่เหมือนพรรคการเมือง
ต่อข้อถามกรณีมีผู้ระบุคณะก้าวหน้าเหมือนพรรคการเมืองตรงที่มีกรรมการบริหาร มีเลขาธิการ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวตอบย้อนว่า “อย่างนี้สมาคมไร่อ้อยก็เป็นพรรคใช่ไหม”
ซึ่งคณะก้าวหน้า คือ คณะทางการเมืองที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และน.ส.พรรณิการ์ วานิช ได้ร่วมกันตั้งขึ้นมาโดยมีการกำหนดตำแหน่งประธาน กรรมการ และเลขาธิการ โดยมีภาพเครื่องหมายของคณะเช่นเดียวกันกับพรรคการเมือง และดำเนินกิจกรรมต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับพรรคการเมือง เช่น การจัดประชุมเปิดตัวผู้สมัคร และส่งคนสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายก อบจ.) และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(ส.อบจ.) กว่า 40 จังหวัด ซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการดำเนินการกับคำร้องลักษณะนี้ของกกต. เมื่อสำนักงานฯมีการรวบรวมข้อมูล ประเด็นข้อกฎหมายเสนอเข้าที่ประชุมกกต.แล้วก็ขึ้นอยู่กับกกต.ว่าจะมอบหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมืองใช้อำนาจตามมาตรา 7 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมืองเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้คำชี้แจงหรือให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณา หรือจะมอบหมายให้ด้านสืบสวนทำสำนวนตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวนไต่สวนก็ได้
ทั้งนี้ พ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา 111 กำหนดไว้ว่า ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 2คนขึ้นไปดำเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง หรือผู้ใดดำเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใด ให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมืองโดยไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี