“อ.ชูชาติ” เตือน “ม็อบ” บุกไทยพาณิชย์ งานนี้ไม่ได้เจอแค่โทษคุก

4272

จากที่ กลุ่มราษฎร ได้เปลี่ยนสถานที่ นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 25 พ.ย. 63 จาก สำนักงานทรัพย์สินฯ เปลี่ยนไปสำนักงานใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์

ล่าสุด นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng ระบุว่า
“คุณ Sutathinee Pitukpolwornut เขียนเตือนกลุ่มคนที่จะไปชุมนุมที่สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์วันนี้ มีโอกาสเจอทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ขออนุญาตผู้เขียนนำมาให้อ่านกัน
#เตือนด้วยความเป็นห่วง
#บอกเลย.ทีมกฏหมายของธนาคารมือฉกาจมาก.
งานนี้มากกว่าติดคุก
คือโดนฟ้องหมดตัวนะจ้ะ
เมื่อมององค์ประกอบของความมั่นคงสมัยใหม่ ที่รวม Soft power ใหม่ๆ ไว้ด้วย เป็น DIMEFIL โดยที่ L คือ Lawfare ซึ่งคำว่า Lawfare นี้ ถูกสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือที่คู่ขนานกับ Warfare
กรณี แกนนำนัดไปชุมนุมที่ SCB น่าจะเข้าทางกฎหมาย (Lawfare) เต็มๆ ถ้ากระบวนการฟ้องทางแพ่งและอาญาไปเร็ว พวกแกนนำหมดตัวแน่ และให้ขยายผลไปร้องเรียน/ร้องทุกข์ในช่องทางอื่น ให้กดดันให้รัฐปราบปรามกลุ่มอันตรายนี้ลง เช่น คกก.สิทธิฯ Ombudsman ตลาดหลักทรัพย์เป็นต้น
หากมองถึงเงื่อนไขของสถาบัน เราจะเห็นข้อเท็จจริงว่า สนง.ทรัพย์สินฯ เป็นกลไกในพระองค์ ซึ่งมันมีข้อจำกัดบางอย่างในการตอบโต้ทางกฎหมาย (Lawfare) กับม็อบที่อ้างตัวเป็นมวลชนของประชาชน พวกนี้
แต่สถานะของ SCB ต่างออกไป เพราะเป็นเอกชนเต็มตัว คณะผู้บริหารมี Chater และต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ และผู้ถือหุ้นรายย่อยใน ตลาดหลักทรัพย์
ในลักษณะที่ถูกคุกคามเช่นนี้ โดยนำเอาพฤติการณ์ที่เคยกระทำที่เกียกกาย ราชประสงค์ ฯลฯ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจขององค์กรที่ตนเองถือหุ้น ผู้ถือหุ้นรายย่อย มีสิทธิที่จะทำได้หลายอย่าง และมีหลายช่องทางให้ร้องเรียน ร้องทุกข์ กล่าวโทษ และฟ้อง เพื่อต่อสู้ด้วย Lawfare ส่วนคณะผู้บริหารของ SCB ก็ฟ้องแพ่งและอาญาได้ตามสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น.”