“ดร.”กิตติธัช” จวก “ม็อบหน้าสภา” ไม่มีใครเป็นประชาธิปไตย วอนหยุดทำร้ายประเทศ

2305

สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (17 พ.ย.) กลุ่มมวลชนเสื้อเหลืองและผู้ชุมนุมคณะราษฎรได้มีการนัดรวมตัวที่บริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อกดดันการตัดสินใจของเหล่า ส.ส.-ส.ว.

ในการประหารือเรื่องร่างรัฐธรรมนูญฉบับบต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายได้มีการเสนอมา ซึ่งฝ่ายมวลชนเสื้อเหลือต้องการกดดันให้ปัดตกง ร่างรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ คือ ฉบับฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และไอลอว์ เนื่องจากเชื่อว่าถ้ามีการร่างแก้ไขโดยสสร. จะหมิ่นเหม่ที่จะมีการล้มล้างพระราชอำนาจหรือสถาบันพระมหากษัตริย์โดยใช้รัฐธรรมนูญ และจะใช้ม็อบกดดัน อีกทั้งการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับจะมีแต่ประโยชน์ของนักการเมืองทั้งสิ้นไม่มีประโยชน์ใดๆของประชาชน

อ่านข่าวเพิ่มเติม : ไทยภักดี ลุยยื่นอสส.ระงับตั้ง สสร.ชี้หมิ่นเหม่ล้มล้างสถาบัน

ซึ่งในตอนเย็นฝ่ายคณะราษฎร์ก็ได้มาชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาด้วยเช่นกัน แต่เพื่อต้องการกดดันให้สภารับร่างรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ โดยอ้างว่านี่คือรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไทยโดยแท้จริง แม้ว่า องค์กรไอลอว์จะได้รับเงินสนับสนุนจากชาวต่างชาติ และรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะมีประชาชนลงชื่อเห็นด้วยจริงเพียง 900,000 กว่าคนซึ่งต่อมาในช่วงเย็นได้มีเหตุการณ์บานปลายจากการไม่ฟังคำเตือนเจ้าหน้าที่ในการละเมิดกฎหมายต่างๆ จนกระทั่งนำไปสู่การสลายการชุมนุมหลายครั้ง และยังมีเหตุการณ์การปะทะกันของมวลชนทั้งสองฝั่งด้วย

ล่าสุด ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้านปรัชญาการเมือง ได้โพสข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ความว่า

“การผ่านร่างกฎหมาย เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยในรัฐสภา ที่ตัวแทนประชาชนผู้ออกกฎหมายจะเป็นผู้พิจารณาร่วมกัน
ดังนั้นการจัดม็อบไม่ว่าฝ่ายไหนไปรุมกดดัน แสดงพลัง และสุดท้ายก็มาตีกันนั้น ประเทศชาติไม่ได้ประโยชน์ ได้แต่ความสะใจและความรุนแรงจากทั้งสองฝ่าย และทำให้สถานการณ์หลายอย่างที่ควรจะคลี่คลายตัวลง กลับไม่จบลง
หยุดเถอะครับ เพื่อประชาชน “ตรงกลาง” อีกจำนวนมาก(และเป็นคนส่วนใหญ่เสียด้วย) อย่าให้พวกเขาต้องมารับผลกระทบจากเกมส์การเมืองเหล่านี้อีกเลย
เพราะสุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์มันบอกเราซ้ำๆ เสมอว่า ไม่มีใครได้ประโยชน์สิ่งเหล่านี้ นอกจากนักการเมืองที่อาศัยมวลชนเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจกันเท่านั้นแหละที่ได้ประโยชน์
#ไม่มีฝ่ายไหนเลยที่เป็นประชาธิปไตย
#หยุดทำร้ายประเทศด้วยการเมือง”