หลังจากที่การชุมนุมบริเวณหน้าอาคารรัฐสภาได้เกิดเหตุปะทะของมวลชน 2 ฝั่งเมื่อช่วงเวลา 20.20 น. ของค่ำคืนวันที่ 17 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา ทางด้านเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ จึงประกาศยุติการชุมนุม
และบอกว่าในวันที่ 18 พ.ย. เวลา 16.00 น.ที่แยกราชประสงค์ ขอให้มีการรวมพลพร้อมกระป๋องสีคนละกระป๋อง เดินเท้าไปสาดสีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยันไม่มีแผ่ว พร้อมบอกว่าม็อบยกระดับขึ้นแล้ว
ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงสถานการณ์การชุมนุมว่า ได้ติดตามสถานการณ์การชุมนุมตามสื่อมวลชน และโซเชียลมีเดีย รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยวานนี้ได้หารือกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหาแนวทางดูแลการชุมนุมอย่างปลอดภัย ให้กับทุกกลุ่มทุกฝ่าย และให้ความเป็นธรรม ในเรื่องสิทธิในการชุมนุม ขอให้ทุกคนชุมนุมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีการใช้ความรุนแรง ดังนั้นต้องระมัดระวังให้มากที่สุด
ส่วนเรื่องของทางสภาฯ ก็ให้เป็นหน้าที่ของสภาฯ ตนเองเป็นฝ่ายบริหาร ซึ่งมีหน้าที่ในการสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะแก้อย่างไรก็ว่ากันมา โดยตนไม่สามารถไปสั่งการอะไรได้ เป็นกลไกของสภา ทั้งนี้ ยอมรับว่าการชุมนุมขณะนี้มีความพยายามใช้ความรุนแรงมากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น
การชุมนุมวานนี้มีพยานหลักฐานชัดเจน รวมถึงการใช้อาวุธต่าง ๆ โดยตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ที่พยายามทำด้วยความละมุนละม่อม แต่ก็มีความพยายามใช้กำลังกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บหลายราย โดยเน้นย้ำว่าขอให้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย แต่ไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษมาควบคุมสถานการณ์
ส่วนที่ผู้ชุมนุมต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิในการชุมนุมนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องไปสอบถามกลุ่มผู้ชุมนุมว่าการชุมนุมที่ถูกกฎหมายนั้นทำกันอย่างไร รวมถึงต้องศึกษากฎหมายลูกด้วย ทั้งนี้การชุมนุมที่เกิดขึ้นกระทบเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของประเทศ รวมถึงส่งผลต่อการตัดสินใจการลงทุนจากต่างชาติ
อีกทั้งช่วงนี้ เป็นช่วงที่ควรเร่งเสริมความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมนั้นมีมากกว่า จึงอยากให้คำนึงถึงคนทั้งประเทศที่ได้รับผลกระทบทั้งเรื่องความเป็นอยู่ อาชีพและรายได้ด้วย ซึ่งรัฐบาลต้องดุแลคนในประเทศและต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศด้วย ทั้งนี้มองว่าสถานการณ์ช่วงนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาชุมนุม
ส่วนสถานการณ์วันนี้จะถือเป็นบทพิสูจน์การบริหารประเทศหรือไม่นั้น ตนดำเนินการมาโดยตลอด การบริหารราชการแผ่นดินจำเป็นต้องใช้กฎหมายกฎระเบียบ และปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่ว่าใครจะทำอะไรก็ได้ในแผ่นดินนี้ ส่วนการชุมนุมจะมีการยกระดับ เพื่อเพิ่มแรงกดดันมาที่ตัวนายกรัฐมนตรีให้ลาออก เพื่อทำตามข้อเสนอของผู้ชุมนุมหรือไม่นั้น เห็นว่าต้องไปดูข้อเสนอว่าสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งตนต้องพิจารณาจากหลายมิติ เพราะตนไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร
ทั้งนี้มั่นใจหรือไม่ว่า สังคมไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ 3 ข้อของผู้ชุมนุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สังคมและคนไทยทั้งประเทศจะพิจารณา ตนไม่สามารถตอบแทนได้ เพราะถือเป็นเรื่องของประเทศประชาธิปไตย จะแสดงความเห็นในเรื่องใดก็ได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบ กลไก กระบวนการที่ถูกต้องและปฎิบัติตามกฎหมาย และตนต้องยึดมั่นในหลักการ