เศรษฐกิจของสหรัฐสามารถทำนายผู้ชนะการเลือกตั้งมาโดยตลอด โดยเฉพาะถ้าหากว่าเศรษฐกิจในระหว่างที่ประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งไม่มีปัญหา ก็มักจะได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีต่อสมัยที่สอง แต่ล่าสุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์สหรัฐปรับตัวลง 3 เดือน ตอกย้ำชัยชนะจะเป็นของไบเดน สำหรับประเทศไทยจะรู้ผลนับคะแนนจริงเริ่ม 6 โมงเช้าวันที่ 4 พ.ย.ปิดหีบสุดท้าย 1 ทุ่ม
ไทยจะรู้ผลการเลือกตั้งเมื่อไหร่?
-วันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป
-คูหาเลือกตั้งในแต่มลรัฐจะทยอยปิดลงไม่พร้อมกัน เริ่มต้นที่รัฐอินดีแอนาและเคนทักกีจะปิดหีบเป็นสองรัฐแรกในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 3 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 6.00 น. ของวันที่ 4 พ.ย. ตามเวลาประเทศไทย ปิดท้ายด้วยรัฐอลาสก้าซึ่งจะปิดหีบในเวลา 1.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย และคูหาการเลือกตั้งทั่วไปปี 2020 ของสหรัฐจะปิดลงอย่างเป็นทางการ
-วันที่ 14 ธันวาคม 2563 คณะผู้เลือกตั้งจะประชุมพร้อมกันในรัฐของตนเองและลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดี กับรองประธานาธิบดีบนบัตรเลือกตั้งที่แยกกัน จากนั้นภายใน 9 วัน ต้องส่งผลเลือกตั้งไปยังประธานวุฒิสภาซึ่งก็คือรองประธานาธิบดี และนักจดหมายเหตุ
–ในวันที่ 6 มกราคม 2563 ปีถัดจากปีเลือกตั้งนับคะแนนอย่างเป็นทางการ โดยประธานวุฒิสภาเป็นประธานการนับคะแนนในการประชุมสภาคองเกรส และประกาศชื่อผู้ชนะเลือกตั้ง
–เวลาเที่ยงวันของวันที่ 20 มกราคม 2564 ขั้นตอนสุดท้าย คือการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
แต่หากนับคะแนนแล้วไม่มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใดได้คะแนนอย่างน้อย 270 เสียง สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ตัดสินผู้ชนะการเลือกตั้ง และกรณีเดียวกันของผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี วุฒิสภาจะเป็นผู้ตัดสิน
-การเลือกตั้งทั่วไปของสหรัฐฯ ใช้ระบบ Winner-Takes-All หรือผู้ชนะกินรวบ ระบบนี้ใช้กับ 48 รัฐ และเขตเมืองหลวง คือ วอชิงตัน ดี.ซี. เท่านั้น ส่วนอีก 2 รัฐ คือรัฐเมนกับรัฐเนบราสก้า ใช้ระบบสัดส่วน คะแนนเสียงที่มาจากประชาชนกาบัตรเลือกตั้งให้ คือ คะแนนมหาชน หรือ Popular Vote แต่คะแนนเสียงที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ คือ คะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral Vote
ระบบ Winner-Takes-All นั้นหมายถึงว่า ผู้สมัครที่มีคะแนนมหาชนสูงกว่าในรัฐใดรัฐหนึ่งจะกวาดคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งในรัฐนั้นไปทั้งหมด
กรณีที่ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพ่ายคะแนนมหาชนแต่กลับได้รับเลือกเป็นผู้นำสหรัฐฯ เคยเกิดมาหลายครั้งแล้ว อย่างการเลือกตั้งในปี 2000 ซึ่งนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช จากรีพับลิกันได้คะแนนมหาชน 50,456,002 เสียง ในขณะที่นายอัล กอร์ จากเดโมแครตได้ 50,999,897 เสียง แต่คะแนนเสียงจากคณะเลือกตั้งอยู่ที่ 271 ต่อ 266 เสียง นายบุชจึงชนะเลือกตั้ง ทั้งนี้ คะแนนเสียงรวมบวกกันได้ 537 เสียง หายไปเสียงหนึ่ง เพราะผู้เลือกตั้งในเมืองหลวง 1 คน ของดออกเสียง
นักพยากรณ์ทายว่าทรัมป์จะพ่ายแพ้
ศาสตราจารย์อัลลัน ลิชต์แมน(Allan Lichtman) อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอเมริกัน ซึ่ง เป็นนักพยากรณ์เลือกตั้งเพียงคนเดียวที่ทำนายว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในปี 2016 และยังทำนายว่า ทรัมป์จะโดนถอดถอนออกจากตำแหน่ง โดยศาสตราจารย์ลิชต์แมนได้ใช้ “แบบการทำนายผลเลือกตั้งประธานาธิบดี” ที่เขาพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ซึ่งสามารถทำนายผลการเลือกตั้งได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ตั้งแต่ชัยชนะของโรนัลด์ เรแกน ในปี ค.ศ. 1984 จนมาถึงชัยชนะของทรัมป์ เมื่อปี ค.ศ. 2016
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ลิชต์แมนเรียกแบบการทำนายผลการเลือกตั้งนี้ว่า “13 ข้อสู่ชัยชนะเพื่อครองทำเนียบขาว (13 Keys to Winning the White House)” ซึ่งเขาใช้เกณฑ์ 13 ข้อ อ้างอิงจากพรรคที่เป็นรัฐบาล เพื่อตัดสินว่า ทรัมป์หรือไบเดนจะได้เข้ามาทำหน้าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป โดยใช้คำตอบ “จริง (True)” เป็นตัวแทนของทรัมป์ และ “ไม่จริง (False)” เป็นตัวแทนของไบเดน ผลการทำนายของศาสตราจารย์ลิชต์แมน พบว่า ทรัมป์ได้ 6 คะแนน ขณะที่ไบเดนได้ไป 7 คะแนน ทำให้ศาสตราจารย์ลิชต์แมนทำนายว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 นี้ โดนัลด์ ทรัมป์ จะแพ้ และ โจ ไบเดน จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ได้สำเร็จ
โพลคาดการณ์ผลการเลือกตั้ง-ให้ไบเดนชนะ
เดอะนิวยอร์ก ไทมส์ได้รวบรวมความน่าจะเป็นของการได้รับคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งทั้งทรัมป์และไบเดน
-รัฐที่แน่นอนว่าจะสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรคริพับลิกัน ได้แก่ แอละแบมา, อาร์คันซอ, ไอดาโฮ, เคนทักกี, ลุยเซียนา, มิสซิสซิปปี, เนบราสกา, นอร์ทดาโคตา, เซาท์ดาโคตา, โอคลาโฮมา, เทนเนสซี, เวสต์เวอร์จิเนีย และไวโอมิง รวมถึงรัฐที่มีแนวโน้มว่าจะสนับสนุนพรรคริพับลิกัน ได้แก่ อลาสก้า, อินดีแอนา, แคนซัส, มิสซูรี, มอนตานา, เซาท์แคโรไลนา และยูทาห์ ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามคาดการณ์โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับคะแนนเสียงแน่นอนจากคณะผู้เลือกตั้งจากรัฐเหล่านี้รวม 125 เสียง
-รัฐที่แน่นอนว่าจะสนับสนุนโจ ไบเดน และพรรคเดโมแครต ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย, คอนเนตทิคัต, เดลาแวร์, วอชิงตัน ดี.ซี., ฮาวาย, อิลลินอยส์, แมริแลนด์, แมสซาชูเซตส์, นิวเจอร์ซีย์, นิวเม็กซิโก, นิวยอร์ก, ออริกอน, โรดไอแลนด์, เวอร์มอนต์ และวอชิงตัน ส่วนรัฐที่มีแนวโน้มว่าจะสนับสนุนพรรคเดโมแครต ได้แก่ โคโลราโด, เมน และเวอร์จิเนีย ซึ่งจะส่งผลให้โจ ไบเดน ได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งจากรัฐเหล่านี้รวม 212 เสียง
-นอกจากนี้รัฐสมรภูมิ(Battle State)หรือ Swing State ซึ่งสามารถคาดการณ์แนวโน้มได้ยาก ดังนั้นทั้งสองพรรคจึงเร่งแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงคะแนนเสียงจากรัฐนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐที่มีคณะผู้เลือกตั้งจำนวนมากอย่าง เทกซัส (38 คน), เพนซิลเวเนีย (20 คน), ฟลอริดา (29 คน), โอไฮโอ (18 คน), จอร์เจีย (16 คน), มิชิแกน (16 คน) และนอร์ทแคโรไลนา (15 คน) เป็นต้น
ผู้เข้าชิงจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียง เพื่อครองเสียงข้างมากและชนะการเลือกตั้ง
สำนักข่าวเอ็นบีซีและเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลพบว่า โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตมีคะแนนทิ้งห่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันอยู่ถึง 10 คะแนน ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 29 -31ตุลาคม 2563 จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 1,000 คนระบุว่าไบเดนมีคะแนนนิยมทั่วประเทศอยู่ที่ 52% ขณะที่ทรัมป์มีคะแนน 42%
ซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ช ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลง 0.04% ในช่วงวันที่ 31 ก.ค.-31 ต.ค. มีความหมายว่า โจ ไบเดนจะชนะ เนื่องจรกตลาดหุ้นมีประวัติทำนายผลเลือกตั้งประธานาธิบดีค่อนข้างแม่น นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลงช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ปธน.และพรรคของเขาจะแพ้ถึง 88% ถ้าปรับตัวขึ้นจะชนะเลือกตั้ง 82%
สวนสัตว์ในรัสเซียใช้เสือ 2 ตัวและหมี 1 ตัวทำนายผลการเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ผลทำนายออกมาว่า โจ ไบเดน จะเป็นฝ่ายชนะ