‘เชาว์’ ซัดไม่ยั้ง หาก ‘ปิยบุตร’ ยังคิดล้มเจ้า อาจไม่จบแค่คุก แต่นรกจะกินกบาล

5503

จากกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า กล่าวประชดประชันเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่องข้อหา ยุยง ปลุกปั่น ตามมาตรา 116 ว่าไม่ทราบว่า ตำรวจอ้างการกระทำใดที่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าว

ล่าสุด วันนี้ (31 ตุลาคม 2563) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง เพราะจมปรักอยู่กับทฤษฎีล้มเจ้า จึงไม่เข้าใจบริบทของกฎหมายไทย มีเนื้อหาระบุว่า

“เมื่อวานนี้ (30 ต.ค.63) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ ตนเองเพิ่งทราบจากข่าวว่าตำรวจ สน.พญาไท ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อหาในความผิดฐาน “ยุยง ปลุกปั่น” ตามมาตรา 116 ป.อาญา โดยยังไม่ทราบว่า ตำรวจอ้างการกระทำใดที่เป็นความผิดตามมาตรา 116 และกล่าวประชดประชันเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า

หากลองถอดชุดตำรวจออก แล้วสวมวิญญาณย้อนกลับไปสมัยเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ปี 2 ก็จะทราบดีว่า เกือบทุกกรณีที่ออกหมายนั้น ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตาม ม.116 เลย เราต่างก็เรียนกฎหมายอาญากันมา ตำราเล่มเดียวกัน ทำไมพอมาเป็นตำรวจแล้วจงใจลืมไปหมด”
ในฐานะที่ผมเป็นทนายความที่เรียนกฎหมายมาเล่มเดียวกับนายปิยบุตรขอบอกกับนายปิยบุตรว่า อย่าว่าแต่คนเรียนกฎหมายเลยคนทั่วไปที่อ่านกฎหมายออกหรือโดยสามัญสำนึก ย่อมรู้ได้ว่าการกระทำใดเข้าข่ายความผิดฐานยุยง ปลุกปั่น ตามมาตรานี้ เพราะการบังคับใช้กฎหมายเขาดูที่การกระทำหรือเจตนาและพฤติการณ์เป็นกรณีๆไป การกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่น ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะชน ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่เห็นว่าไม่ชอบธรรม หากกระทำโดยสุจริตก็ไม่ผิดกฎหมาย
นายเชาว์ ระบุด้วยว่า พฤติกรรมหรือการกระทำของม็อบเยาวชน ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ขณะนี้ โดยเฉพาะข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการประดิษฐ์ถ้อยคำขึ้นมาจาบจ้วง ด่าทอ ล่วงละเมิด ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำพูด หรือแผ่นป้าย สื่อโฆษณารวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ เช่น การขัดขวางขบวนเสด็จ แล้วด่าทอด้วยถ้อย คำหยาบคาย การปราศรัยโจมตีใส่ร้ายในหลวงที่สถานทูตเยอรมัน การจัดเดินแฟชั่นเสียดสีสถาบัน การข่มขู่งานพระราชทานปริญญาที่ธรรมศาสตร์ รวมถึงการพูดจาด่าทอทุกวันทุกเวที ด้วยชุดความคิดเดียวกันทั้งถ้อยคำ ภาพถ่าย คลิปภาพ ลักษณะแบ่งงานกันทำ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ผมถามนายปิยบุตรว่าการกระทำหรือพฤติการณ์เหล่านี้ถือเป็น กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ใช่หรือไม่ มันจึงไม่ใช่ความผิดหยุมหยิม อย่างที่นายปิยบุตรเข้าใจ

ส่วนปัญหาว่าการกระทำของนายปิยบุตรจะมีส่วนไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าในฐานะตัวการหรือก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม ม็อบเยาวชนให้จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ นายปิยบุตรย่อมรู้แก่ใจดี และอีกไม่กี่วัน นายปิยะบุตรก็คงจะรู้พฤติการณ์แห่งคดีของตน หลังจากที่ไปรับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวน เชื่อว่าพนักงานสอบสวนคงมีพยานหลักฐานที่แน่นหนาพอสมควรจากพฤติกรรมแอบอยู่ข้างหลังของนายปิยบุตร และคงจะไม่ใช่ที่สน. พญาไท ที่เดียว เพราะหากนายปิยบุตรยังจมปรักอยู่กับทฤษฎีล้มเจ้า นอกจากจะได้รับกรรมตามบทบัญญัติของกฎหมายต่างกรรมต่างวาระแล้ว การล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่สืบทอดสันติวงศ์ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอันศักดิ์สิทธิ์ ที่คนไทยทั้งชาติให้ความเคารพสูงสุด ไม่เพียงจบที่เรือนจำใครลบหลู่ระวังนรกจะกินกบาลเอาด้วย

“ผมคิดว่าการได้รับหมายเรียกครั้งนี้ เป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ไม่ควรออกมาโอดครวญใด ๆ เพราะในวันที่ตัดสินใจเป็นผู้นำทางความคิดเป็นปฏิปักษ์กับสถาบัน ก็ควรเตรียมใจรับผลแห่งกรรมไว้ด้วย และที่ต้องจดจำใส่สมองไว้ให้จงหนักคือ คนที่ถูกนายปิยบุตรปลุกปั่น เชิดให้เป็นแกนนำ มีชะตากรรมเคยนอนคุกกันไปหลายคนแล้ว แต่นายปิยบุตรยังไม่เคยลิ้มรสการถูกคุมขังแม้แต่น้อย งอแงเป็นเด็ก ไม่อายเด็กที่เขาสู้แบบยอมสละอนาคตตัวเองบ้างหรือ จะเชิดหน้าบอกตัวเองว่าเป็นนักปฏิรูปได้ ก็ต่อเมื่อรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ไม่ใช่หลอกใช้เด็กทุกวันแล้วลอยนวลแบบนี้” นายเชาว์ ระบุ