ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ พูดเป็นนัยจะไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจแต่โดยดีหากแพ้การเลือกตั้งต่อนายโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตในเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่โพลทุกค่ายแสดงคะแนนนิยมทรัมป์ยังคงตามหลังไบเดนในเกือบทุกมลรัฐ ขณะที่ผลักดันให้วุฒิสภาที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก รับรองนางเอมมี่ แบร์เรตต์ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูง ให้ทันกำหนดเลือกตั้ง สองพฤติกรรมนี้บอกแนวโน้มความวุ่นวายหรืออาจถึงความรุนแรง จะเกิดขึ้นหลังประกาศผลเลือกตั้งแน่นอน และทุกอย่างจะสิ้นสุดที่คำตัดสินของศาลสูงในที่สุด
Trump is still teasing that if he loses, he might not acquiesce to a peaceful transition of power pic.twitter.com/tdIA1kXdzB
— Aaron Rupar (@atrupar) October 24, 2020
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐกล่าวในงานหาเสียง เมื่อวันเสาร์ 24 ตุลาคม 2563 กับผู้สนับสนุนที่มารับฟังว่า”พวกเขาถามผม ถ้าแพ้จะถ่ายอำนาจแบบสันติไหม, แต่ถ้าผมชนะล่ะ พวกเขาจะให้สันติกับผมไหม?”
นั่นหมายถึงการส่งสัญญาณไม่รับประกันอย่างชัดเจน ว่าจะยอมถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ คำพูดนี้ได้จุดชนวนให้เกิดความวิตกกังวลว่าเขาอาจไม่ยอมสละตำแหน่งง่ายๆ หากแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีให้แก่นายโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้
โดยทรัมป์กล่าวว่า ทุกคนจะต้องได้เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลังจากถูกผู้สื่อข่าวถามว่า เขาจะถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติหรือไม่ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐ
ทรัมป์ซึ่งมีคะแนนนิยมตามหลังนายไบเดน จากผลโพลล์ส่วนใหญ มักแสดงความไม่พอใจเกือบรายวันเกี่ยวกับวิธีการจัดการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งดูเหมือนเขาจะอ้างถึงการใช้ระบบการเลือกตั้งทางไปรษณีย์เนื่องจากปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19โดยแสดงความไม่พอใจอย่างมากเกี่ยวกับการเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ซึ่งบอกว่าเป็นหายนะ ทรัมป์อ้างเสมอว่า การเลือกตั้งทางไปรษณีย์ทำให้ง่ายมากที่จะทำให้มีการโกงเลือกตั้ง และสนับสนุนพรรคเดโมแครตโกงการเลือกตั้งด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่า บัตรลงคะแนนที่ส่งผ่านสำนักงานไปรษณีย์เคยนำไปสู่การโกงในการเลือกตั้งสหรัฐ
ด้านวุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์ พรรครีพับลิกันรัฐยูทาห์ ซึ่งเคยต่อสู้เพื่อเป็นตัวแทนพรรคชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในอดีตประณามถ้อยแถลงของทรัมป์เมื่อวันพุธ โดยเขาทวีตข้อความว่า พื้นฐานของประชาธิปไตยคือการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ ซึ่งหากปราศจากสิ่งนี้ ก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นในเบลารุสคำแนะนำใดๆ ที่ประธานาธิบดีอาจไม่เคารพการรับรองตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ เป็นทั้งสิ่งที่คิดไม่ถึงและรับไม่ได้
ท่าทีล่าสุดของทรัมป์ที่ยืนกรานว่าศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี วันที่ 3 พฤศจิกายน ไม่อาจเป็นศึกเลือกตั้งที่ยุติธรรม มีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันที่มีมากขึ้นต่อกรณีที่เขาผลักดันตั้งแต่ผู้พิพากษาศาลสูงคนใหม่อย่างรวดเร็ว โดยทรัมป์เตรียมเสนอชื่อผู้ที่จะมาสืบสอดตำแหน่งต่อจาก นางรูธ เบเดอร์กินส์เบิร์ก ที่เสียชีวิต
ในวันเสาร์นี้ และคาดหมายว่าสมาชิกรีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา จะให้การรับรองตัวเลือกของทรัมป์อย่างรวดเร็ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้ศาลสูงมีผู้พิพากษาแนวคิดอนุรักษนิยม มากกว่าเสรีนิยมอย่างชัดเจน คือ 6 ต่อ 3
โจ ไบเดนโจมตีทรัมป์ว่ามีวาระซ่อนเร้นในความพยายามผลักดันเสนอเชื่อผู้พิพากษาศาลสูงคนใหม่ก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง พร้อมเรียกร้องวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันโหวตคว่ำตัวเลือกผู้ที่ทรัมป์เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ โดยชี้ว่าการกระทำของทรัมป์เป็นการใช้อำนาจทางการเมืองที่แยบยล ขณะที่ทรัมป์บอกว่าเขาเชื่อว่า ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2020 จะไปจบลงที่ศาลสูงของอเมริกา พร้อมชี้ว่านี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมีองค์คณะผู้พิพากษา 9 ท่าน