จากกรณีประเด็นพ่นสีลงบนถนนคำว่า ภาษีกู ต่อมาเพจ สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้โพสต์ “กรณีมีการเผยแพร่ภาพเจ้าหน้าที่พ่นสเปรย์ลงบนพื้นที่ถนนนั้น เป็นการดำเนินการพ่นสีดำเพื่อทับข้อความสีขาวที่ถูกพ่นลงบนถนนก่อนหน้านี้
ขณะที่เพจดรามาแอดดิค โพสต์ถึงประเด็นนี้เช่นกันข้อความว่า “อันนี้แก้ต่างให้ตำรวจหน่อย คือ เพื่อนจ่าแกไปเป็นหมออาสาช่วยปฐมพยาบาลเผื่อมีคนบาดเจ็บ แล้วขากลับ แกผ่านจุดนี้พอดีเด๊ะ เลยถ่ายภาพมาให้ดู ไม่นึกว่ามีคนเอาไปปั่นประเด็นกัน คือ ตำรวจเขามาพ่นสีดำ ทับตรงที่มีคนพ่นสีขาว(มีคนพ่นสีขาวข้อความภาษีกู) บนพื้นถนน มีนักข่าว TPBS ถ่ายภาพเหตุการณ์อยู่ด้วยน่ะนะ ว่ากันตามข้อเท็จจริงครับ แค่นั้นก็เหลือแหล่แล้ว อย่าปั่นประเด็นที่ไม่จริงกัน”
ล่าสุดผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Oil Siritham ได้โพสต์ข้อความลงเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวของครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือจากกอาการป่วย ว่า
“ภาษีกู ภาษีกู” คำนี้มันบาดลึกเข้าในใจผมมาก เมื่อเห็นภาพ ขอโทษคนไทยทุกคน ที่ภาษีของท่าน โดนฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เอามาใช้จ่ายอย่างไม่คิด …..ในการช่วยชีวิตพี่ชายผม……
ยาวหน่อย ช่วยอ่านหน่อยนะครับ แต่นี่คืออีกเหตุผลที่ผมรักและเทิดทูนสถาบัน ใครมาวิจารณ์เสียๆหายๆไม่ได้
พี่ชายผม เป็นโรคลมชัก ตั้งแต่เด็กๆ กินยาต้ม ยาโรงบาล ตั้งแต่เด็กจนจบปริญญาตรี อาการหนักสุดคือ นอนเฉยๆก็ชักน้ำลายฟูมปาก ทุกคนในบ้านเครียด ร้องไห้หนักมาก โดยเฉพาะแม่และยาย เมื่อตรวจละเอียด จึงพบว่า มีแผลเล็กมากๆและอยู่ลึกในสมอง เป็นส่วนที่ผ่าตัดยากมาก แต่ต้องผ่า ถ้าไม่ผ่า สุดท้ายจะลามไปส่วนอื่นเหมือนกระแสไฟฟ้า(ซึ่งตอนนั้นเริ่มลามแล้ว) และจะเอ๋อ ช่วยตัวเองไม่ได้ในที่สุด
ซึ่ง รพ.มอ ตอนนั้นก็ไม่มีเครื่องมือและหมอที่ทำได้ขนาดนั้น แต่แม่ก็ไม่ยอม เพราะขึ้นชื่อว่าผ่าหัวลูก ใครๆก็กลัว ผ่าก็เสี่ยง ไม่ผ่าก็เสี่ยง เหมือนมีหมอกมาคลุมที่หลังคาบ้านอยู่หลายปี กินยาที่ รพ. มอ มาเรื่อยๆ จนหมอสงสาร ช่วยทำเรื่องให้รักษาที่ รพ.จุฬาภรณ์ ตามโครงการของท่าน(ฟ้าหญิง พระยศในขณะนั้น)
โดยรักษาร่วมกับระหว่าง รพ.จุฬาภรณ์ กับ รพ.จุฬาลงกรณ์ และแม่ยอมให้ผ่าตัดในที่สุด พีคสุดคือเปิดสมอง คาไว้ 2 วัน มีหมอระดับอาจารย์ ที่เก่งมาทำเคส เกือบเดือนที่อยู่ใน รพ.จุฬาภรณ์ (รพ.ที่ยามเข้มงวด เพราะฟ้าหญิงมักจะเข้ามาทรงงานบ่อยๆ) จนหายดี ในที่สุด ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกือบ 600,000
ใช่…..นั้นคือ “ภาษีกู ภาษีกู ที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เอามาใช้จ่ายอย่างไม่คิดในการช่วยชีวิตคน (ยังสงสัย ทำไมการช่วยเหลือประชาชนส่วนนี้ สำนักพระราชวังไม่โฆษณาบ้าง) อย่าด่าครอบครัวผมเลยนะครับ ที่ใช้ภาษีท่าน เพราะถ้าไม่ได้ภาษีพวกท่าน ครอบครัวผมคงพบกับความมืดมนที่สุด เพราะไม่มีปัญญาแน่นอน
ทุกวันนี้ ผมก็ชดใช้ภาษีในส่วนที่ฟ้าหญิงเอามาช่วยพี่ชาย ด้วยการเป็นพลเมืองที่ดี ข้าราชการที่ซื่อสัตย์สุจริต ประกอบสัมมาชีพ มีความสุขกับชีวิตแบบไทยๆ (หยุดเถอะครับ ว่าการดำรงพระชนม์ชีพของเบื้องสูงจ่ายแต่ภาษีที่ได้รับ ช่วยหาข้อมูลก่อนตะโกน“ภาษีกู ภาษีกู”)
เมืองที่มีอิสระเสรีที่สุดในโลก กิน นอน เที่ยว ที่ไหนก็ได้ มีอิสระทางความคิด คิดต่างได้ แต่การแสดงออกโดยปราศจากความเคารพ ก็ไม่ควรได้รับความยอมรับเช่นเดียวกับการใช้ความรุนแรงเช่นกัน ผมไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้ โดน เอาอะไรใส่สมอง หรือเสพสื่ออะไรมาบ้าง ความจริงที่อยู่ในโลกออนไลน์ มันน่ากลัวถ้ามันถูกปรุงแต่งด้วยความรู้สึก
เรียกร้องสิทธิในสิ่งที่ ไม่เคยเสีย ลืมสิ่งสำคัญที่เรียกว่า หน้าที่ อยากได้สิ่งที่ต้องการ โดยไม่ดิ้นรนพยายามพอ กฎหมายที่ต้องการล้ม ถ้ามองภาพรวม ก็เพราะมันไม่เอื้อให้นักการเมืองคดโกงหรือไม่ แต่นักการเมืองฉลาด เล่นกับความรู้สึกเด็ก ว่าสังคมไทยให้สถาบันอยู่เหนือทุกอย่างโดยไร้เหตุผล
ประท้วงไล่นายก …… อันนี้คือสิทธิที่ทำได้ แต่จาบจ้วงสถาบัน ไม่ว่าองค์ไหน ไม่อาจเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ต่อให้แก้ตัวว่า ไม่ได้ล้มล้างแค่ให้เท่าเทียม แต่การกระทำคือการโน้มฟ้ามาย่ำยี รับไม่ได้ เพราะผมทูนไว้เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
นี่คือจุดยืนผม อธิบายให้ทราบเฉยๆ ไม่ได้บอกให้ลบเพื่อนถ้าเห็นต่าง เพราะคำว่าเห็นต่าง คือใช้ได้กับทางการเมืองเท่านั้น ไม่ใช่สถาบัน เพราะสถาบันคือสิ่งเดียว ที่ทำให้ไทยเป็นไทยถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่ “นักการเมือง”
บอกได้เลยว่า ผมก้มกราบได้อย่างเต็มใจ เพราะไม่มองว่าคือการกดขี่ แต่คือการแสดงออกความรักและประเพณีที่ดีงาม อย่าเอาการเรียก I กับ You ระหว่างแม่ลูกของฝรั่งมาเป็นบรรทัดฐาน เพราะคนไทย แม้ไม่รู้จักกัน ก็เรียกกันเสมือนเป็นญาติกัน นี่แค่เรื่องพื้นฐานที่เราควรมีความเป็นตัวเอง และมีเหตุผลไตร่ตรองที่มาของการชุมขุมครั้งนี้ ว่า ใครแน่ที่ได้ประโยชน์ ประชาชน หรือ นักการเมือง