ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาโวยวายเตือนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว และอาจผลักดันให้ประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า สอดคล้องกับสถาบันการเงินหลายแห่ง อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดประกาศถอนสภาพคล่อง ไม่ใส่เงินให้กระทรวงการคลังเพิ่มและเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกันการคว่ำบาตรรัสเซียสุดโต่งได้ส่งกระทบเป็นลูกโซ่ทำลายสถานะของดอลลาร์สหรัฐอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
วันที่ 8 เม.ย.2565 สำนักข่าวรอยเตอร์และรัสเซียทูเดย์รายงานว่า ไมเคิล ฮาร์ทเน็ต (Michael Hartnett) หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของธนาคารแห่งอเมริกาหรือแบงค์ออฟอเมริกา(BofA) แถลงในบันทึกประจำสัปดาห์ และให้สัมภาษณ์ระบุว่า“ภาวะเงินเฟ้อที่แย่ลง มีอัตราสูงอย่างน่าตกใจเพิ่งเริ่มต้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังจะเกิดขึ้น” เขาเสริมว่าในบริบทนี้ เงินสด ความผันผวน สินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งสกุลเงินดิจิทัลอาจทำได้ดีช่วยผ่อนเบาสถานการณ์ได้ดีกว่าพันธบัตรและหุ้น เพราะหากปล่อยสถานการณ์ให้เป็นไปเช่นนี้อเมริกาจะเจอกับวิกฤติครั้งใหญ่ไม่แพ้อดีต
ฮาร์ทเน็ตกล่าวว่าแผนของเฟด (Federal Reserve) ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปีจะนำไปสู่คลื่นกระแทกทั่วทั้งเศรษฐกิจ
อัตราเงินเฟ้อเป็นภัยต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดำรงอยู่เป็นเวลาหลายเดือน และอัตราได้พุ่งแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่นับตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้นขึ้น อัตราเงินเฟ้อประจำปีพุ่งขึ้นเป็น 7.9%ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งสูงที่สุดในรอบสี่ทศวรรษ และการคาดการณ์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าอัตราในเดือนมีนาคมอาจสูงถึง 8.5% ตามข้อมูล ของธนาคารเพื่อการลงทุน UBS อัตราดังกล่าวจะสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2524
การเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการผกผันของเส้นอัตราผลตอบแทน หมายความว่าผลตอบแทนระยะสั้นกลายเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจมากกว่าผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าแบบปกติในทันที การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนระยะสั้นเป็นตัวบ่งชี้ว่านักลงทุนเชื่อว่าอนาคตอันใกล้ของตลาดจะดีกว่ามุมมองระยะยาว เพราะไม่เชื่อมั่น
นักวิเคราะห์ของ BofA กล่าวว่าการผกผันนี้เป็นสัญญาณว่าภาวะถดถอยใกล้จะมาถึงเร็วกว่าคาด รายงานระบุว่า“กราฟอัตราผลตอบแทนจะสูงชันเสมอเมื่อภาวะถดถอยเริ่มต้นขึ้น”
BofA ได้แสดงความเห็นสอดคล้องกับกลุ่มสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อเตือนภัยเกี่ยวกับแนวโน้มที่จะเกิดภาวะถดถอย
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ เจมี่ ไดมอน ผู้บริหารระดับสูงของเจพีมอร์แกน กล่าวในจดหมายประจำปีของเขาถึงผู้ถือหุ้นว่า การรวมเงินเฟ้อ ความขัดแย้งในยูเครน และการคว่ำบาตรรัสเซียจะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากให้กับสหรัฐฯ เขาได้เตือนถึงผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้ต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในวันพุธที่ผ่านมาเฟด(Federal Reserve) ได้แถลงถึงการวางแผนการที่จะลดงบดุลหรือ คือการถอนสภาพคล่อง ไม่ใส่เงินหนุนเพิ่มแค่กระทรวงการคลังสหรัฐในขณะเดียวกันก็หารือเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะที่เผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบสี่ทศวรรษ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไม่หยุด จากสถานการณ์สงครามยูเครน นักลงทุนคาดว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สำคัญอีก 50 จุด หรือคือขึ้นถึง 5% ในการประชุมครั้งต่อไปในต้นเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้เฟดยังแย้มเป็นนัยว่าอาจต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกหลายครั้งติดๆกันถ้าจำเป็น
นอกจากนี้สถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกท้าทายและสั่นคลอนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากเกือบ 80 ปีที่โลกถูฏครอบงำด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจุบันประมาณ 60% ของเงินสำรอง 12.8 ล้านล้านเหรียญทั่วโลกถือเป็นดอลลาร์ แต่เมื่อสหร้ฐใช้อาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง ทางเศรษฐกิจโดยการคว่ำบาตรสุดโต่งต่อรัสเซีย ผู้คนตื่นตัวและตื่นตระหนก เพื่อปกป้องตนเองจากชะตากรรมเดียวกันกับรัสเซีย ประเทศอื่นๆ จึงกระจายการลงทุนของตนออกจากดอลลาร์สหรัฐฯไป เป็นสกุลเงินอื่นอย่างต่อเนื่อง
นั่นคือสิ่งที่สถานะสกุลเงินสำรองของประเทศของดอลลาร์กำลังสั่นคลอน ความพยายามทุบค่าเงินรูเบิลรัสเซีย กลับส่งผลให้ค่าเงินรูเบิลแข็งค่าเด้งกลับหลังรัสเซียใช้มาตรการตอบโต้ที่ชาญฉลาด ซึ่งสหรัฐไม่คาดคิด ยิ่งส่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือของดอลลาร์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ไมเคิล ฮาร์ทเน็ต นักยุทธศาสตร์ของ Bank of America ก็กล่าวถึงเช่นกันว่าการใช้เงินดอลลาร์เป็นอาวุธ อาจนำไปสู่การเสื่อมค่าของมัน “การทำให้ระบบการเงินโลกกลายเป็นแอ่ง” จะกัดเซาะบทบาทของอเมริกาในฐานะสกุลเงินสำรองต่างประเทศซะเอง
รายงานวิจัยฉบับใหม่โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศพบว่าทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นดอลลาร์ ลดลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มันเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลาเดียวกันกับที่สหรัฐฯ เริ่มทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายและการคว่ำบาตรต่อต้านการก่อการร้ายสมัยบุชบุกตะวันออกกลาง เงินสำรองหนึ่งในสี่ได้เปลี่ยนจากเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินหยวนจีนและอีกสามในสี่ได้เปลี่ยนเป็นสกุลเงินของประเทศอื่นๆ