จับพิรุธ “รังสิมันต์ โรม” ใช้เอกสารปลอมอภิปรายกลางสภาฯ ย้อนรอยเคยพูดเรื่อง “ตั๋วช้าง” ส่อมีความผิด 112

1685

สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้กล่าวอภิปราย เชื่อมโยงประเด็นการค้ามนุษย์ ชาวโรฮีนจา กรณีมีการค้นพบค่ายกักกัน และหลุมศพกลางป่าบนเทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา และในครั้งนั้นมีการแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ คดีนี้สามารถสืบสาวไปถึงนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจ และทหารหลายนาย ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ท้ายที่สุดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 พล.ต.ต.ปวีณ ถูกคำสั่งย้ายให้ไปรักษาราชการอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้ เปรียบเสมือนเป็น “ใบสั่งตาย” แต่ พล.ต.ต.ปวีณ ไม่สมัครใจย้ายไปตามคำสั่งดังกล่าว พร้อมขอให้ทบทวนคำสั่ง ในที่สุดจึงตัดสินใจยื่นใบลาออกจากราชการตำรวจเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558

 

ต่อมานายรังสิมันต์ โรม ได้อภิปรายว่า เรื่องคดีนี้ เป็นเหตุผลที่ทำให้ พล.ต.ต.ปวีณ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ นอกจากนี้ รังสิมันต์ และช่อ พรรณิการ์ ยังได้พูดคุยถึงประเด็นนี้และตั้งหัวข้อเรื่องสนทนาว่า ตั๋วช้างภาค 2

ล่าสุดในเฟซบุ๊กของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ปลอม…ปลอมตั้งแต่หัวกระดาษ สงสารตำรวจดีต้องลี้ภัย แต่ทำไมถึงกลายเป็นเครื่องมือของกบฏ?

ก่อนอื่น ผมต้องขอชื่นชม พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ในความเป็นตำรวจน้ำดีและมีผลงานเชิงประจักษ์จำนวนไม่น้อย ตลอดจนรู้สึกเห็นใจที่ท่านต้องลี้ภัยไปยังต่างประเทศ ผมเห็นด้วยกับการตรวจสอบผู้มีอำนาจในรัฐบาล หากมีผู้ที่อาจเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาในอดีตหลงเหลืออยู่ เพราะการต่อสู้กับขบวนการค้ามนุษย์เป็นสิ่งที่ดีงาม กล้าหาญ และเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งในแง่ของกฎหมายและหลักมนุษยธรรม

แต่การต่อสู้นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริง ไม่ใช่การจัดฉากแสดงละครปั่นกระแสดราม่า ไม่ใช่การชี้นำให้คิดไปเองโดยปราศจากหลักฐานที่สามารถยืนยันได้จริง แล้วคุณปวีณก็ไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของพวกกบฏล้มล้างการปกครอง ที่พยายามปั้นน้ำเป็นตัว จัดฉากแสดงละครทั้งในและนอกรัฐสภา เพื่อกุเรื่องเชื่อมโยงไปสู่การบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์


โดยพวกกบฏกลุ่มนี้ ภายนอกสร้างภาพเป็นผู้ดี เสแสร้งแสดงละครในบทพระเอกนางเอก แต่ภายในเลวทรามต่ำช้า มีใจคออำมหิต โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเครือข่ายค้ามนุษย์ เพราะโยนบาปบิดเบือนให้ร้ายสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการยุยงปลุกปั่นชี้นำให้เกิดการลุกขึ้นสู้ หวังหลอกใช้ชีวิตของเพื่อนมนุษย์ในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เลียนแบบการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ล้าหลังและป่าเถื่อน

จากการตรวจสอบเอกสารที่นำมาอ้างว่าเป็น “ใบสมัครหน่วย สนง.นรป.๙๐๔” ที่ถูกส่งแฟกซ์มาให้ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ในเบื้องต้นพบว่ามีพิรุธจำนวนหลายประการ

โดยดร.นิว ได้แนบหลักฐานดังนี้ เช่น คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติคำสั่งที่ ๓๕๔/๒๕๕๑ , ข่าวจากสำนักข่าว BBC ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างราชการในพระองค์ ก่อนปรับโครงสร้างใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ดังนั้น เอกสารที่ขึ้นต้นด้วย สนง.นรป.๙๐๔ จึงน่าจะเป็นเอกสารปลอม

มีการพิมพ์ปะปนกับการเขียน และมีการแก้ไขแบบไม่เรียบร้อยในหลาย ๆ จุด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ดูไม่น่าจะเหมาะสมในฐานะที่เป็นเอกสารสำคัญทางราชการ ตลอดจนความเป็นข้าราชการระดับสูงที่มีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิอย่าง พล.ต.ต.ปวีณ

มีการแสดงความสับสนในข้อมูลของตนเอง
– สถานภาพ : มีการขีดในช่องสมรส ก่อนขีดฆ่าแบบลวกๆ แล้วเปลี่ยนเป็นขีดในช่องหย่าร้าง
– บิดา : มีการขีดทั้งในช่องมีชีวิตอยู่ และช่องถึงแก่กรรม

การปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งที่ไม่ครบถ้วน โดยดูเหมือนว่ามีความพยายามในการเขียนระบุการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งให้มีความละเอียด แต่ก็ยังขาดความสมเหตุสมผล เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๕๘ แต่บันทึกถึงแค่ พ.ศ.๒๕๕๓ จึงขาดเหตุการณ์ปรับตำแหน่งในห้วง พ.ศ.๒๕๕๔-๒๕๕๘ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายที่สำคัญอีกหลายตำแหน่ง และเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นนี้โดยตรง
ด้วยข้อพิรุธต่างๆ ที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนี้ จึงน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม เพื่อใช้ในการกุเรื่องเชื่อมโยงไปสู่การบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่?

 

 

 

หากคุณปวีณยังพอมีอุดมการณ์ความเป็นตำรวจน้ำดีหลงเหลืออยู่ คุณปวีณควรกลับตัวกลับใจ แล้วหันมาช่วยกันปราบกบฏ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร โดยศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ ๑๐ พ.ย. ๒๕๖๔ ระบุว่าม็อบสามนิ้ว ซึ่งมีพวกกบฏกลุ่มนี้อยู่เบื้องหลัง ได้ใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ช่างน่าเสียดายที่ตำรวจน้ำดีอย่างคุณปวีณ ไม่กล้ากลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง อีกทั้งยังยอมก้มหัวรับใช้พวกกบฏล้มล้างการปกครอง ซึ่งคอยหลอกใช้คนรุ่นใหม่ เป็นเครื่องมือทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเองอย่างอำมหิต โดยอาศัยการชี้นำทางความคิดด้วยการโกหกบิดเบือน ตลอดจนอามิสสินจ้างต่าง ๆ ไม่ต่างจากการ #ค้ามนุษย์ ที่สุดแสนเลวทรามต่ำช้านี้เสียเอง #ปลอมไม่เนียนไปเรียนมาใหม่

อย่างไรก็ตามได้มีกระแสในโลกโซเชียลวิจารณ์เรื่องนี้ด้วยว่า อาจจะเหมือนกับกรณีตั๋วช้าง ที่รังสิมันต์ โรม เคยอภิปรายครั้งก่อน จนนำมาสู่การจับผิดเช่นกัน ว่าอาจจะเป็นเอกสารปลอม และมีความคืบหน้าตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา โดยแรมโบ้อีสาน ได้ถอดเทปฟ้อง รังสิมันต์ โรม ส.ส.ก้าวไกล ในความผิด ม.112 ปม โดยเชื่อว่าน่าจะป็นเอกสารเท็จ ไม่ใช่เอกสารที่เป็นข้อเท็จจริง โดยแรมโบ้อีสาน ยังกล่าวด้วยว่าไม่ใช่เรื่องของการปิดปาก ไม่ใช่เป็นการเอากฎหมายมาตรา 112 มารังแก แต่คนเหล่านี้มีพฤติกรรมจาบจ้วง ก้าวล่วงสถาบันถึงขนาดเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และมีพฤติกรรมที่เข้าไปร่วมกับแกนนำม็อบที่จาบจ้วง คิดล้มล้างตลอดที่ผ่านมา ดังนั้น นายรังสิมันต์ จะใช้วาทศิลป์ในการพูดอย่างไร แต่พฤติกรรมจริงๆ ไม่ใช่ ส.ส.ก้าวไกลเรารู้พฤติกรรมหมดแล้ว อย่ามาใช้ลักษณะปกป้องสถาบัน เพราะที่จริงแล้วกำลังคิดล้มล้างทำลายสถาบัน