สหรัฐไม่ปลื้ม!?ปูตินจับมือมาครง เดินหน้าสันติภาพ สยบวิกฤตยูเครน

1169

ปูตินและมาครงเปิดเผยผลการเจรจาสำคัญในกรณีวิกฤตยูเครนตกลงที่จะ “ก้าวไปข้างหน้า” ในข้อเสนอด้านความมั่นคงบางอย่าง ที่มาครงนำมาเสนอที่มอสโกว์ในวันจันทร์นี้ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดแต่อย่างใด  ขณะเดียวกัน ไบเดนเปิดทำเนียบขาวถกนายกฯเยอรมนี ก่อนจะพบกับปูติน เรียกว่าล็อบบี้กันจนวินาทีสุดท้าย และไบเดนยังคงแข็งกร้าวขู่รัสเซียไม่ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด

เมื่อวันจันทร์ที่ 7ก.พ.2565 สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และเอเอฟพีรายงานว่า ปธน.วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เปิดเผยถึงผลการพูดคุยกับปธน.มาครงแห่งฝรั่งเศสพร้อมประนีประนอมและพิจารณาข้อเสนอที่นำเสนอโดยเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส แต่ยังคงกล่าวโทษสหรัฐและตะวันตกที่ก่อกระแสความความตึงเครียดที่พุ่งสูงในประเด็นยูเครนไม่เลิกรา  ขณะเดียวกันปธน.โจ ไบเดน เปิดทำเนียบขาวต้อนรับ โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี พร้อมยังขู่อีกว่าจะพับเก็บโครงการท่อลำเลียงก๊าซ “นอร์ด สตรีม 2” หากว่ามอสโกเปิดฉากรุกรานยูเครน แม้แต่นิดเดียว  ท่าทีของสหรัฐไม่ได้ลดน้อยถอยลงยังเดินหน้าปั่นความขัดแย้งต่อเนื่อง

ประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวย้ำว่า ยูเครนปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงมินสค์ และสร้างสันติภาพกับสองภูมิภาคที่แตกแยกของโดเนตสค์และลูกาสค์ โดยเลือกที่จะข่มเหงผู้ที่พูดภาษารัสเซียในยูเครนแทน 

นอกจากนี้ เขายังหยิบยกประเด็นสำคัญ 3 ประการจากข้อเสนอด้านความมั่นคงของมอสโกที่เผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม ได้แก่1.ไม่ขยายสมาชิกนาโต 2.ไม่ติดตั้งอาวุธทำลายล้างชายแดนรัสเซีย และ3.ยกเลิกการเพิ่มกองทหารนาโตในยุโรปตะวันออก ซึ่งนาโต้และสหรัฐฯ ได้“ปฏิเสธอย่างน่าเสียดาย”และกล่าวว่า NATO ไม่จำเป็นต้องเพิ่มสมาชิกอีกรวมถึงยูเครน หากไม่มีวาระซ่อนเร้นบางอย่าง

Macron กล่าวว่า อาจจำเป็นต้องมีการสร้างกลไก “ทางเลือกใหม่”เพื่อสร้างความมั่นคงในยุโรป เนื่องจากการแก้ไขการจัดเตรียมและข้อตกลงที่มีอยู่แต่เดิมจะไม่เป็นประโยชน์ในสถานการณ์ปัจจุบัน

ประธานาธิบดีทั้งสองยังได้หารือเกี่ยวกับเบลารุส ความขัดแย้งระหว่างอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจานเกี่ยวกับนากอร์โน คาราบาคห์ ข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน และสถานการณ์ในประเทศมาลีในแอฟริกา และอื่นๆ

ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเดินทางไปมอสโกว์ในวันจันทร์เพื่อพบกับปูตินด้วยตนเอง เพื่อสนทนาแบบเจาะลึกและหาคำตอบร่วมกันที่เป็นประโยชน์สำหรับรัสเซียและสำหรับทั้งยุโรปเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม งานที่มาครงได้คะแนนจากมิตรประเทศและอาจไม่ได้ดั้งใจอเมริกา

ในวันอังคารที่ 8 ก.พ.นี้มาครงจะเดินทางไปพบปธน.โวโลดิมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelensky)ที่ยูเครนเพื่อหวังว่าผลการเจรจาจะเป็นบวก

ความเคลื่อนไหวของปธน.โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ที่เปิดทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ต้อนรับการมาเยือนของ โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีในวันจันทร์ 7ก.พ.เช่นกัน

ไบเดน ประกาศระหว่างการพูดคุยว่าจะมีการปิดตายท่อลำเลียงก๊าซ “นอร์ดสตรีม 2″ จากรัสเซียสู่ยุโรป หากว่ามอสโกเปิดฉากรุกรานยูเครน ไบเดนระบุว่า”ถ้ารัสเซียรุกราน หมายถึงมีรถถังหรือทหารข้ามเขตแดนของยูเครน เมื่อนั้นจะไม่มีนอร์ดสตรีม 2 อีกต่อไป” ไบเดนแถลงข่าวร่วมกับ ชอลซ์ ที่ทำเนียบขาว หลังเจรจาทวิภาคีในห้องทำงานรูปไข่ “ผมสัญญากับคุณ เราจะทำให้มันถึงจุดจบ” 

การเดินทางเยือนทำเนียบขาวของ ชอลซ์ มีขึ้นในขณะที่รัฐบาลใหม่ของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากยูเครนและจากผู้คนบางส่วนในสหรัฐฯ ที่กล่าวหาเบอร์ลินว่าไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับสหรัฐฯที่ต้องการกดดันทางทหารต่อรัสเซีย

อย่างไรก็ตามทั้ง ไบเดน และ ชอลซ์ ยืนยันระหว่างแถลงข่าวที่วอชิงตัน ว่าไม่มีความเห็นต่างในแนวทางรับมือกับรัสเซีย ไบเดนกล่าวในห้องทำงานรูปไข่  “เรากำลังทำงานในการก้าวไปพร้อมๆกัน เพื่อปัดเป่าความก้าวร้าวของรัสเซียในยุโรป”ส่วน ชอลซ์กล่าวเสริมว่า “เราเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกัน และเราลงมือในแนวทางที่พร้อมเพรียงและเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ยามที่เรากำลังตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ในปัจจุบัน”

ในขณะที่ชอลซ์ อยู่ในวอชิงตัน แอนนาลีนา แบร์บ็อค รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี อยู่ในกรุงเคียฟ ร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศสาธารณรัฐเช็ก สโลวาเกียและออสเตรีย ในการเดินทางเยือน 2 วันเพื่อประชุมร่วมและคาดว่าจะมีแถลงการณ์หลังการพูดคุย

หลังจากนี้ชอลซ์จะเดินทางเยือนมอสโกพบปูตินและเคียฟในสัปดาห์หน้า ก็ต้องคอยดูว่าในที่สุดแล้วชอลซ์จะพูดว่าอย่างไรอีก

ยิ่งสหรัฐพยายามสร้างภาพความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่นาโตหรืออีกฐานะหนึ่งคือสหภาพยุโรป ยิ่งเผยให้เห็นสิ่งตรงข้ามที่ดำรงอยู่ ทางการทูตไม่มีการตัดไมตรีอยู่แล้ว แต่การปฏิบัตินั้นสำคัญที่สุดที่สำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อคือ เรื่องการเคลื่อนไหวทางการทหาร  สัญญาณความแตกต่างในบทบาทตอบสนองต่อกรณียูเครนนี้ไม่เสมอกันทั้งอังกฤษ เยอรมนีและฝรั่งเศส ตลอดจนสมาชิกนาโตอีกหลายประเทศ ต้องจับตาดูต่อไปว่า ระหว่างฝ่ายหนึ่งที่สหรัฐเป็นแกนนำผลักดันสงครามปะทะรัสเซีย อีกฝ่ายหนึ่งคือฝรั่งเศสและเยอรมนีพยายามลดกระแสตึงเครียดหลีกเลี่ยงสงคราม ฝ่ายใดจะทำสำเร็จ ซึ่งส่งผลต่อโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ท่ามกลางการระบาดโควิดกลายพันธ์ที่ยังไม่มีแนวโน้มยุติหรือคลี่คลาย??