สืบเนื่องจากกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ห้องทำงาน บนตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเตรียมการชี้แจงญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ของฝ่ายค้าน ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ.65 โดยใช้เวลาหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง
โดยนายกฯสอบถามถึงเรื่องการอภิปรายทั่วไปเพื่อเตรียมความพร้อมประเด็นใดบ้าง เนื่องจากบางเรื่องนายกฯ อ่านญัตติแล้วไม่เข้าใจบางข้อหมายความว่าอย่างไร และผู้ยื่นหมายถึงพฤติกรรมอะไร ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจ เช่น ที่เขียนว่าการเลือกตั้งย้อนยุคไปสู่ระบบอุปถัมภ์ และการใช้เงินเป็นหลัก จึงเกิดคำถามขึ้นว่าใครจะต้องตอบเรื่องนี้ เพราะเราไม่มีกระทรวงเลือกตั้ง เป็น กกต. จะต้องจัดการเลือกตั้ง รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบในการมีระบบอุปถัมภ์หรือใช้เงินเป็นหลัก การหารือกับนายกฯ ยังเป็นการเตรียมข้อมูลบางอย่าง มีทีมงานของนายกฯ นั่งรับฟังด้วยเพื่อเตรียมข้อมูลตอบญัตติ นายกฯ จะชี้แจงญัตติกว้างๆ เพราะเป็นเรื่องของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องโรคระบาดเป็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องราคาสินค้าเป็นของกระทรวงพาณิชย์ เรื่องเหมืองอัคราเป็นของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายกฯ ไม่ได้กังวลใด ๆ เพราะเป็นการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ สามารถเตรียมข้อมูลได้ทัน
ล่าสุดทางด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมากล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ อ่านญัตติของฝ่ายค้านขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ไม่เข้าใจบางข้อ ว่าเป็นรัฐบาลกันมา 3 ปี เชื่อว่านายวิษณุรู้ แต่มีเจตนาพยายามทำเป็นมึนงง ฉะนั้นจึงขอเชิญคณะรัฐมนตรี (ครม.)ทั้งคณะมาชี้แจงในวันที่ 17-18 ก.พ.นี้ อย่างน้อยมานั่งถ่ายรูปเป็นที่ระลึกบนบังลังก์ อย่างไรก็ตาม ขอจองกฐินอภิปรายการทำงานของนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เจ้าของฉายามหาเฉื่อย 4D,พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ (พม.)
“กระทรวงที่ผมได้พูดถึงมีความฉ้อฉลทางกฎหมาย และทุจริตทำกันอย่างเป็นระบบรับลูกกันเป็นขั้นตอน พ่อค้าส่งเสนอราคาให้กับเจ้าหน้าที่ ข้าราชการระดับสูงก็ใช้ไหวพริบหาข้อหลีกเลี่ยงของ พ.ร.บ.ฮั้วประมูลฯ และ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ แม้จะไม่ใช่การอภิปรายครั้งนี้จะไม่มีการลงมติ แต่จะไปลงมติที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน”
