จีนประณามญี่ปุ่นแส่!?เลวทรามอ้างปัญหาสิทธิฯ ร่างกม.แทรกแซงปท.อื่นไม่ละอายจะเจอดี

1206

ประเทศญี่ปุ่นแสดงบทบาทเดินตามวาระวอชิงตันอย่างโจ่งแจ่ง โดยไม่ส่งตัวแทนรัฐบาลเข้าร่วมพิธิเปิด แต่ส่งประธานกรรมการโอลิกปิกญี่ปุ่นเข้าร่วม และล่าสุด สภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นผ่านร่างกฎหมาย แสดงความห่วงกังวลต่อ สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในจีน ชูประเด็นมุสลิมอุยกูร์และฮ่องกง ด้านจีนโต้เดือด เป็นการกระทำที่เลวทราม ยั่วยุทางการเมือง และแทรกแซงกิจการภายในอย่างร้ายแรง  ย้อนเจ็บญี่ปุ่นไม่ดูตัวเองก่ออาชญากรรมนับไม่ถ้วนเมื่อครั้งทำสงครามกับประเทศอื่นๆ

@’†‘‚̐lŒ –â‘è‚ÉŒœ”O‚ðŽ¦‚·Œˆ‹c‚ðÌ‘ð‚µ‚½O‰@–{‰ï‹c‚P“úŒßŒã

วันที่ 2 ก.พ.2565 สำนักข่าวซินหัวและโกลบัลไทมส์รายงานว่าสภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นผ่านร่างกฎหมายติดตามประเด็นสิทธิมนุษยชนในจีน เมื่อวันอังคารที่ 1 ก.พ ที่ผ่านมา เป็นความพยายามผลักดันจากขั้วอนุรักษนิยมในพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) พรรครัฐบาลของนายกฯ ฟูมิโอะ คิชิดะ ให้ทันก่อนการเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งของจีนเป็นเจ้าภาพ ในวันที่ 4 ก.พ.ที่จะถึงนี้ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแล้วว่าจะไม่ส่งตัวแทนของรัฐบาลเข้าร่วม แต่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกของญี่ปุ่นจะไปร่วมพิธีด้วย

เมื่อเช้าวันนี้ จ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนออกคำแถลงตอบโต้รุนแรงว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวนี้เปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นทำสิ่งนอกเหนืออำนาจ เป็นสิ่งที่เลวทรามอย่างที่สุดโดยธรรมชาติ หรือ extremely vile in nature โดยไม่คำนึงถึงความจริงและข้อเท็จจริง สิ่งที่ญี่ปุ่นระบุว่าเป็นสิทธิมนุษยชนนั้น แท้จริงแล้วเป็นกิจการภายในของจีน ทั้งยังเป็นการยั่วยุทางการเมืองอย่างรุนแรงต่อประชาชนจีน พร้อมย้ำว่า รัฐบาลและประชาชนจีนจะร่วมกันปกป้องอธิปไตย ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับการสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินมาตรการตอบโต้ต่อไป

จ้าวกล่าวว่า “ญี่ปุ่นก่ออาชญากรรมจำนวนมากในช่วงสงครามรุกรานที่เคยทำมา และด้วยประวัติที่น่าสงสารในด้านสิทธิมนุษยชน จึงไม่มีสิทธิอำนาจใดๆ ที่จะกล่าววาจาหยาบคายเกี่ยวกับสภาพสิทธิมนุษยชนของประเทศอื่น”

แถลงการณ์ระบุว่า” ไม่มีปัญหาสิทธิมนุษยชนที่เรียกว่าซินเจียงของจีนหรือที่อื่นๆ เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า  กองกำลังทางการเมืองของญี่ปุ่นบางส่วนกำลังปลุกปั่นการเมืองชูประเด็นสิทธิมนุษยชนร่วมกับสหรัฐฯ และตะวันตก แผนการของพวกเขาที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของจีนและขัดขวางการพัฒนาของจีน ผ่านการยักยอกทางการเมืองโดยใช้สิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้างจะล้มเหลวและนำพาตัวเองไปสู่หายนะ”

ด้านความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นนั้นสำนักข่าวเกียวโด(Kyodo) รายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่น (House of Representatives) ผ่านร่างกฎหมายที่ระบุให้ญี่ปุ่นรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน โดยคาดว่าวุฒิสภาของญี่ปุ่นจะพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวภายหลัง การแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวเสร็จสิ้น ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวเรียกร้องให้จีนแสดงความรับผิดชอบด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเพื่อให้รัฐบาลญี่ปุ่นมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในการคลี่คลายสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน โดยอ้างถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทิเบต มองโกเลีย และฮ่องกง 

มีรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงกลยุทธ์ด้านความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันพุธสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเน้นว่าประเทศจะต้องเพิ่มความสามารถในการโจมตีฐานทัพของศัตรู เพื่อยกระดับการปราบปรามภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและจีน นักวิเคราะห์ชาวจีนมองว่าเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นความพยายามอย่างต่อเนื่องของโตเกียว ที่มีความทะเยอทะยานอย่างป่าเถื่อนในการสวนทางเจตจำนงค์แบบสันติในรัฐธรรมนูญ

นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ แสดงจุดยืนและท่าทีในที่ประชุมรัฐสภาที่จะให้ประเทศมีความสามารถในการโจมตีฐานศัตรู เขาระบุว่ารัฐบาลมีแผนจะนำการปรับปรุงยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ แนวทางโครงการป้องกันประเทศ และโครงการป้องกันภัยระยะกลางมาใช้ภายในปลายปีนี้

ซ่ง จงผิง ผู้เชี่ยวชาญทางทหาร (Song Zhongping, a military expert)ของจีนกล่าวว่าพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯและญี่ปุ่นมีความเคลื่อนไหวเชิงรุกอย่างมาก โดยเป็นภัยคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้านทั้งจีนและเกาหลีเหนือ 

ญี่ปุ่นต้องการการอนุมัติจากสหรัฐฯ เพื่อไปยังจุดเปลี่ยนของนโยบายทางทหาร  ซึ่งสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะยินยอมเพื่อยกระดับหน้าที่ด้านความมั่นคงของพันธมิตรควอด(QUAD)ในภูมิภาค เพื่อปิดล้อมจีน อย่างน้อยก็สร้างความโกลาหลในภูมิภาคได้

การเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร เป็นการละเมิดมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับปัจจุบัน ที่กำหนดในโตเกียวหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งการยอมแพ้ในสงครามเพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยห้ามไม่ให้มีการรักษากองกำลังติดอาวุธไว้ ยกเว้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันตนเอง ความหวังที่จะฟื้นฟูกองทัพอย่างเต็มรูปแบบจึงมีความเป็นไปได้อย่างมากเมื่อปลุกเร้าสงคราม กระตุ้นสถานการณ์คู่ขัดแย้งระอุเดือดตามวาระวอชิงตัน