เฮดจ์ฟันด์หรือกองทุนใหญ่ระดับโลกของสหรัฐอดรนทนไม่ไหว ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลปธน.โจ ไบเดนอย่างเคร่งเครียดว่า การบริหารเศรษฐกิจล้มเหลวทำมูลค่าเงินดอลลาร์หดหายไปเรื่อยๆ และเปิดเผยว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่อาจเติบโตจากตัวเลขในตลาดหุ้นเท่านั้น ต้องสนใจภาคเศรษฐกิจจริงด้วย การใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง อันเนื่องมาจากเงินจำนวนมากที่ใส่เข้าสู่ระบบ
เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2564 เรย์ ดาลิโอ(Ray Dalio)นักลงทุนมหาเศรษฐี ผู้ก่อตั้งบริษัท Bridgewater Associates ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนป้องกันความเสี่ยงของอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เตือนว่ามูลค่าพอร์ตของนักลงทุนในตลาดหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ใช่ความมั่งคั่งที่แท้จริง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดในรอบ 31 ปี และค่าครองชีพในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่มขึ้นถึง 6.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ดาลิโอ เขียนวิจารณ์ในโพสต์บน LinkedIn เมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า “บางคนคิดผิดว่ากำลังรวยขึ้นเพราะพวกเขาเห็นว่าทรัพย์สินของพวกเขาราคาสูงขึ้นโดยไม่ได้เล็งเห็นว่ากำลังซื้อของพวกเขาถูกกัดเซาะอย่างไร”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินกล่าวว่า “คนที่เจ็บปวดที่สุดคือผู้ที่ใช้จ่ายและซื้อสินค้าเป็นเงินสด ขณะที่มูลค่าเงินนั้นลดลงเรื่อยๆ”
ดาลิโอต่อต้านการพิมพ์เงินโดยไม่มีหลักค้ำประกันมาอย่างยาวนาน การซื้อหาสิ่งต่างๆด้วยเงินในช่วงที่สินค้าและบริการราคาสูงขึ้นนั้นค่อนข้างสำคัญ เพื่อช่วยป้องกันการเสื่อมราคาของค่าเงินดอลลาร์ หมายถึงการใช้เงินสดที่มีอยู่จับจ่ายใช้สอยดีกว่าการใช้เครดิต คือยืมเงินในอนาคตไปเรื่อยๆอย่างที่รัฐบาลกำลังทำคือกู้หนี้ทะลุเพดานหนี้ แล้วพิมพ์เงินออกมาไม่จบสิ้น ไม่ใช่วิธีแก้เงินเฟ้อที่ถูกต้อง
เขากล่าวย้ำว่า “เมื่อมีการสร้างเงินและใช้เครดิตจำนวนมาก มูลค่าเงินนั้นจะลดลง ดังนั้นการมีเงินมากขึ้นไม่จำเป็นต้องทำให้มั่งคั่งจริง หรือมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด”เขาแจกแจงว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงจะเกิดจากกำลังการผลิตในภาคเศรษฐกิจจริง ไม่ใช่ในตัวเลขเฉพาะตลาดหุ้น
ดาลิโอเตือนว่าขณะนี้สหรัฐฯ กำลังใช้จ่ายมากกว่าที่จะหารายได้จริง และกำลังพยายามรับมือกับภาวะเงินเฟ้อโดยการพิมพ์เงินออกมาอีกซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐกำลังถูกลดค่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักลงทุนมือฉบังย้ำว่า“ไม่มีบุคคล องค์กร ประเทศ หรืออาณาจักรใดที่ไม่ล้มเหลวเมื่อสูญเสียอำนาจการซื้อ ด้วยค่าเงินของตนหมดค่าลงเรื่อยๆ”
นอกจากมูลค่าเงินดอลลาร์ที่ลดลงเรื่อยๆอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ข้อน่าสังเกตุเกี่ยวกับเครื่องมือระดมทุนของรัฐบาลคือ บอนด์หรือพันธบัตรรัฐบาลนั้น เสนอให้ผลตอบแทนลดลง ทั้งพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีและ 30 ปี ให้ผลตอบแทนลดลงแม้รายงานการจ้างงานที่ดีกว่าที่คาดการณ์ก็ตาม นั่นคือ อัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังอายุ 10 ปีลดลง 6 จุดพื้นฐานมาอยู่ที่ 1.46% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีลดลง 7 คะแนนเป็น 1.89%
เกอร์พรีท กิลล์(Gurpreet Gill) นักยุทธศาสตร์ระดับมหภาคของตราสารหนี้ระดับโลกที่โกลแมนแซคส์ฯ (Goldman Sachs Asset Management) กล่าวว่า “บนเส้นทางของการระบาดใหญ่, เงินเฟ้อ, การคาดการณ์สำหรับอัตราเงินเฟ้อ, การเติบโตของค่าจ้างและการจ้างงานอาจกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงที่ลดลง และส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลได้ ”
กิลล์ตั้งข้อสังเกตว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นได้เพิ่มขึ้นน้อยกว่าในตลาดอื่น ๆ เพราะการตัดสินใจของธนาคารกลางที่ทำให้นักลงทุนกังวล สัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกจะต้องมีตัวเลขการจ้างงานเต็มที่ ถ้าสถานการณ์จ้างงานดีมากเท่าไหร่ โอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ในทางเทคนิคแล้ว เมื่อผลตอบแทนของพันธบัตรไม่สูง น่าจะหมายถึงสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นบวกและน่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ธนาคารกลางหรือเฟดตั้งเป้าที่จะลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลลง 15,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งหมายความว่าการผ่อนคลายเชิงปริมาณจะสิ้นสุดภายในกลางปี 2565 และรัฐบาลต้องไปหาทางระดมทุนทางอื่นผ่านพันธบัตรของรัฐบาลจากเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็ต้องจับตาดูว่า ใครจะเป็นเจ้าหนี้เพิ่มให้กับสหรัฐฯเพื่อหนุนงบฯประมาณมหาศาลที่รัฐบาลต้องการ ง่ายๆคือจะเอาเงินที่ไหนมาบริหารประเทศ และใช้จ่ายในโครงการประชานิยมของรัฐบาลไบเดน
สำนักงานงบประมาณรัฐสภาเปิดเผยผลระยะยาวของการอนุมัติงบฯโครงสร้างพื้นฐานของปธน.ไบเดนและแพ็คเกจการใช้จ่ายด้านสภาพอากาศจะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณของประเทศประมาณ 36,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินก้อนนี้ก็จะทบเป็นหนี้สินของประเทศรวมกับหนี้เดิมอีกมหาศาล