แดนอันตราย??มะกันขัดแย้งปะทุ Black Live Matter คืนชีพ ขู่ระวัง ‘จลาจล-ไฟไหม้’

1426

วันที่ 12 พ.ย.2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ฮอว์ก นิวซัม ผู้นำ Black Lives Matter ได้ประกาศกลางที่ประชุมว่าจะเกิด “การจลาจล” “ไฟไหม้” และ “การนองเลือด” แน่นอนหากนายเอริก อดัมส์ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กเข้ามาเป็นผู้นำหน่วยตำรวจนอกเครื่องแบบ และฟื้นให้กลับมาประจำการอีกครั้ง

เอริค อดัมส์ อดีตผู้บังคับการตำรวจนิวยอร์ก (NYPD) ได้รับเลือกให้เป็นนายกเทศมนตรี และได้สัญญาว่าจะคืนสถานะให้กับหน่วยต่อต้านอาชญากรรมของเมือง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ราว 600 คนทำงานในหน่วยตำรวจนอกเครื่องแบบ

ซึ่งนายกเทศมนตรีบิล เดอ บลาซิโอสั่งยุบกลุ่มไปเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ในช่วงเวลานั้นความรู้สึกต่อต้านตำรวจพุ่งสูงขึ้นภายหลังการสังหารจอร์จ ฟลอยด์ในมินนีแอโพลิส จนก่อกระแสต้านการเหยียดผิว กว้างขวางทั่วประเทศในสมัยอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์กุมบังเหียนไวท์เฮ้า

ในการประชุมร่วมระหว่างนากยกเทศมนตรีและนิวซัมในบรูคลิน โบโร ฮอลล์เมื่อวันพุธ (Brooklyn Borough Hall)นิวซัมเตือนนายกเทศมนตรีว่า การปฏิรูปหน่วยต่อต้านอาชญากรรมไม่เหมาะสมกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม Black Lives Matter

ตามรายงานของนิวยอร์กโพสต์ นิวซัมกล่าวหลังการประชุมว่า “หากพวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังจะกลับไปใช้วิธีการควบคุมแบบเก่า เราก็จะต้องออกไปที่ถนนกันอีกครั้ง” เขาเตือนว่า“จะต้องมีการจลาจล จะมีไฟไหม้และจะมีการนองเลือดแน่” นิวซัมกล่าวว่า “เราจะอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน-ที่ทำงานของเขา เราจะอยู่ตามท้องถนน ถ้าเขายอมให้ตำรวจพวกนี้ทำร้ายเราอีก” “เรามีคนในสภาเทศบาลเมืองที่สามารถสร้างปัญหาให้กับเขาได้ เรามีคนอยู่ตามท้องถนนที่สามารถสร้างปัญหาให้กับการบริหารของเขาได้”

ผู้นำ BLM ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้กำลังข่มขู่ใคร และคำพูดของเขาเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อ”การกดขี่เชิงรุก”ของตำรวจ

หน่วยต่อต้านอาชญากรรมสร้างขึ้นเพื่อหยุดอาชญากรรมรุนแรงและกวาดล้างปืนผิดกฎหมายออกจากถนนในนิวยอร์ก โดยได้รับการยอมรับจากผู้สนับสนุนว่าช่วยให้เมืองนี้ปลอดจากอาชญากรรมที่แพร่ระบาดในช่วงทศวรรษ 1970, 1980 และต้นทศวรรษ 1990  แต่หน่วยงานนี้มีชื่อเสียงด้านความรุนแรงต่อคนผิวสี และรายงานในปี 2016 โดยสำนักงานตำรวจนิวยอร์กพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบประมาณครึ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้ปืนยิงคนผิวสีโดยเจตนา ในช่วงเวลาปฏิบัติการควบคุมฝูงชน หรือกวาดล้างอาชญากรรม

ในช่วงเวลาที่หน่วยงานต่างๆถูกยุบ อัตราการฆาตกรรมของนิวยอร์กก็เพิ่มสูงขึ้น โดยจำนวนการฆาตกรรมในเมืองเพิ่มขึ้นจาก 319 ในปี 2019 เป็น 500 ในปี 2020 ในช่วง 12 เดือนนับตั้งแต่การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ และได้เริ่มการประท้วงทั่วประเทศ อาชญากรรมทุกประเภทก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน การโจรกรรมเพิ่มขึ้นสองเท่าระหว่างเดือนพฤษภาคม 2020 ถึงพฤษภาคม 2021

การนำหน่วยนอกเครื่องแบบกลับมาเป็นเพียงกลยุทธ์เดียวที่อดัมส์เสนอให้ควบคุมอาชญากรรม เขาคาดหวังว่านักเคลื่อนไหวอย่างนิวซัมจะมีส่วนร่วมและช่วยทำความสะอาดชุมชนของพวกเขาเอง อดัมส์กล่าวว่า “หากชีวิตคนผิวสีมีความสำคัญอย่างแท้จริง เราต้องจัดการกับความรุนแรงในชุมชนของเรา ในขณะเดียวกันเราก็ต้องจัดการกับอคติในการรักษาความสงบ การตะโกนและไม่ฟังกันทำให้เราไปไหนไม่ได้”

แม้ว่าจะได้รับการยอมรับในฐานะผู้ก่อตั้ง Black Lives Matterในนิวยอร์ก แต่ นิวซัมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Black Lives Matter Global Network และได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้ก่อตั้งเครือข่ายดังกล่าว และกล่าวหาว่าพวกผู้นำในกลุ่มเครือข่ายดูดเงินจากองค์กร เพื่อเป็นทุนในการดำเนินชีวิตที่ฟุ่มเฟือยของพวกเขาเองมากกว่าจะดูแลและทำเพื่อคนผิวสีอย่างแท้จริง

นครนิวยอร์กเป็นหนึ่งใน 20 เมืองใหญ่ๆ ที่ถูกหักเงินงบประมาณของตำรวจอย่างรุนแรง ปีที่แล้ว นายกเทศมนตรีบิลล์ เดอ บลาซิโอ (Bill de Blasio) ได้ใช้งบส่วนกลางวาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง Black Lives Matter ขนาดใหญ่สีเหลืองสดใสที่หน้า Trump Tower ในแมนฮัตตัน และขณะสั่งให้ตำรวจยืนเฝ้า  เขาได้เฉือนเงิน 1 พันล้านดอลลาร์จากงบประมาณของตำรวจ ที่มีมูลค่าสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020  กองบังคับการตัวรวจนิวยอร์ก(NYPD) เป็นกองกำลังตำรวจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีเจ้าหน้าที่ 36,000 คนและพลเรือน 19,000 คน 

ในการสำรวจที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดย USA Today/Ipsos พบว่าเกือบสามในสี่ของคนอเมริกัน คือจำนวน 72%  มีความคิดเห็นที่ดีต่อตำรวจและการบังคับใช้กฎหมาย จำนวน 64% กล่าวว่าพวกเขาไว้วางใจหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ในการจัดการกับปัญหาอาชญากรรมและความปลอดภัยสาธารณะ 

บางทีนี่อาจเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่สุดสำหรับพรรคเดโมแครต ชาวอเมริกันมากกว่าจำนวนสามในสี่ หรือ 77% สนับสนุนการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปลาดตระเวนคุ้มกันตามท้องถนนให้มากขึ้น และในระดับที่ใกล้เคียงกัน คนอเมริกันจำนวน 70% สนับสนุนให้เพิ่มงบประมาณของกรมตำรวจ

สถานการณ์เช่นนี้สะท้อนความไม่พอใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่อาจส่งผลสะเทือนถึงความนิยมในตัวประธานาธิบดีโจ ไบเดน และพรรคเดโมแครตอย่างไม่อาจปฏิเสธได้