“ปูน ทะลุฟ้า” โดนแล้ว! ปราศรัยเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง? ถูกแจ้งม.112 สุไหงโก-ลก พบเป็นคดีที่ 2

2292

จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (9 พฤศจิกายน 2564) ทางเพจ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่ ปูน ธนพัฒน์ ได้ถูกแจ้งข้อหามาตรา 112 ที่สถานีตำรวจภูธรสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นคดีที่ 2 โดยระบุข้อความว่า

ที่ สถานีตำรวจภูธรสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส “ปูน” ธนพัฒน์ (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมทางการเมือง ได้เดินทางไปรับทราบข้อหาตามหมายเรียกในข้อกล่าวหาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ในคดีที่มีนายพสิษฐ์ จันทร์หัวโทน เป็นผู้กล่าวหา ก่อนพบว่าถูกกล่าวหาจากการโพสต์เฟซบุ๊ก 8 ข้อความในกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง โดยแทบทั้งหมดเป็นโพสต์ในวันเวลาที่ปูนยังอายุไม่ถึง 18 ปี ทำให้ถูกดำเนินคดีในฐานะเยาวชน
ก่อนหน้านี้ ธนพัฒน์ไม่ทราบว่าตนเองถูกออกหมายเรียกในคดีนี้มาก่อน จนเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2564 ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้นำผู้ถูกออกหมายเรียกในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่ง เข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.สุไหงโก-ลก จึงได้ทราบจากพนักงานสอบสวนว่ามีการออกหมายเรียกธนพัฒน์ไปแล้ว 2 ครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถส่งหมายถึงมือผู้ต้องหาได้ และเตรียมจะไปขอศาลออกหมายจับต่อไป
โดยนายธนพัฒน์ พร้อมทนายความ จึงได้นัดหมายเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ที่ สภ.สุไหงโก-ลก โดยปูนต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังหาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนหนึ่งวัน ก่อนจะเดินทางไปยังอ.สุไหงโก-ลก ในช่วงเช้า
ว่าที่ พ.ต.ต.นที จันทร์แสงศรี สารวัตร (สอบสวน) สภ.สุไหงโก-ลก ได้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ธนพัฒน์ ระบุพฤติการณ์ว่า
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 64 เวลาประมาณ 22.00 น. พสิษฐ์ จันทร์หัวโทน ผู้กล่าวหาได้เปิดเฟซบุ๊กเพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมือง พบข้อความโดยบัญชีเฟซบุ๊กชื่อสกุลเดียวกันกับธนพัฒน์ในภาษาอังกฤษ และใช้รูปโปรไฟล์เป็นผู้ชายใส่ชุดนักเรียน พร้อมข้อความ NO GOD NO KING ONLY HUMAN” ได้โพสต์ข้อความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในกลุ่มรอยัลลิสต์มาเก็ตเพลส-ตลาดหลวง จำนวนทั้งหมด 8 ข้อความ โดยมีการระบุเวลาโพสต์ตั้งแต่ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2564
โดยมีทั้งข้อความวิพากษ์วิจารณ์ความสัมพันธ์ในราชวงศ์ รวมไปถึงการแสดงความคิดเห็นเรื่องการสั่งทำร้ายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากคดี มาตรา 112 ผู้กล่าวหาระบุว่า ข้อความเหล่านั้น เมื่อบุคคลทั่วไปได้อ่านแล้ว มีความรู้สึกและเห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อกล่าวหากับธนพัฒน์ใน 2 ข้อหา ได้แก่ “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)
ด้าน นายธนพัฒน์ ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะขอให้การในชั้นศาล ก่อนพนักงานสอบสวนยื่นขอออกหมายควบคุมตัวต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนราธิวาส เนื่องจากโพสต์แทบทั้งหมด ระบุวันที่โพสต์ในช่วงที่ธนพัฒน์ยังอายุไม่ถึง 18 ปี ทำให้เขาถูกกล่าวหาในขณะยังเป็นเยาวชน
ด้านทนายความได้แถลงคัดค้านด้วยวาจา เนื่องจากคดีนี้ธนพัฒน์ถูกดำเนินคดีขณะเป็นเยาวชน และมีภูมิลำเนาอยู่ในอีกจังหวัดหนึ่ง โดยตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 95 กำหนดว่า “คดีอาญาที่มีข้อหาว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำความผิด ให้ศาลเยาวชนและครอบครัวซึ่งมีเขตอำนาจในท้องที่ที่เด็กหรือเยาวชนมีถิ่นที่อยู่ปกติ มีอำนาจพิจารณาคดีเกี่ยวกับความผิดนั้น” ดังนั้นศาลเยาวชนฯ จังหวัดนราธิวาส จึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ อย่างไรก็ตาม ศาลเยาวชนฯ จังหวัดนราธิวาส มีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานสอบสวนควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ตามคำขอ แต่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวธนพัฒน์ในวงเงิน 10,000 บาท พร้อมนัดรายงานตัวต่อศาลในวันที่ 7 ก.พ. 65
โดยนายธนพัฒน์ ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ในคดีนี้เป็นคดีที่ 2 โดยคดีแรก ถูกดำเนินคดีจากกรณีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 บริเวณป้ายเรือนจำคลองเปรม ซึ่งมี ไชยอมร แก้ววิบูลพันธ์ หรือ “แอมมี่” นักร้องวง The Bottom Blues เป็นจำเลยในคดีเดียวกันนี้ด้วย
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังระบุว่า นายพสิษฐ์ จันทร์หัวโทน เป็นคนเดียว ได้เป็นผู้มาแจ้งความร้องทุกข์ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อประชาชนอีกอย่างน้อย 20 ราย ที่สถานีตำรวจนี้ ซึ่งขณะนี้ตำรวจได้มีการทยอยออกหมายเรียก และดำเนินคดีไปแล้วอย่างน้อย 6 ราย
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่บริเวณแยกราชประสงค์ นายธนพัฒน์ ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยในการชุมนุม “ราษฎรประสงค์ยกเลิก 112” ตอนหนึ่งว่า กฎหมายมาตรา 112 ไม่ใช่ฉันทามติของประชาชน แต่เป็นฉันทามติของคนชนชั้นนำที่ออกมาจำกัดเสรีภาพประชาชน เพราะชนชั้นปกครองรู้สึกว่าเมื่อประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ จะเป็นตัวทำลาย จึงพยายามทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งกฎหมายนี้ แต่ประชาชนวันนี้แสดงเจตจำนงค์แล้วว่าไม่เอากฎหมายนี้ ประชาชนสามารถแสดงออกได้ในประเด็นที่ต้องการ
โดยเฉพาะในแง่การเมือง ถ้ารัฐบาลไม่ชอบธรรม เราก็สามารถพูดตรงไปตรงมาได้ แต่ความจริงไม่ใช่ ยังมีกฎหมายบางมาตรา ไม่ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น กฎหมายต่างๆ อยู่ที่เจตจำนงค์ของประชาชนว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก ยืนยันว่าสิ่งที่เราทำไม่ผิด สามารถทำได้ ที่ผ่านมาในการพิจารณณาคดีมาตรา 112 ของศาล ทำให้ศาลคิดหนักว่าจะเอาตัวรอด หรือจะเอาความถูกต้อง เนื่องจากมีการกดดันว่าจะต้องทำตามคำสั่ง จึงสงสัยว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่
พร้อมกับกล่าวต่อว่า ความรักที่ประชาชนมีให้ ไม่ต้องใช้กระบอกปืนมาจ่อหัว แต่ความรักต้องออกมาจากความจริงใจ รับฟังเสียงประชาชนบ้าง ตนไม่เห็นประชาชนคนไหนที่ลุกขึ้นมาแล้วบอกว่าจะล้มล้างการปกครอง ไม่มีใครพูดว่าจะปฏิวัติ มีแต่บอกว่าจะปฏิรูป กฎหมายมาตรา 112 ยิ่งใช้ยิ่งประณามตัวเอง เสื่อมเสีย ในวันนี้เราจำเป็นต้องยกเลิกมาตรา 112
เนื่องจากประชาชนต้องการวิจารณ์ได้อย่างสุจริต ตรงไปตรงมา โดยไม่มีผลกระทบอะไรเลย แต่ถ้ายังไม่มีการยกเลิก เรามี 3 ทางเลือก 1.ถ้าไม่ออกมาสู้ ก็กลับไปเป็นทาส ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 2.ถ้ารับฟังเรา ก็จะอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู้ใต้รัฐธรรมนูญ และ 3.ถ้าไม่รับฟัง คงจะต้องมีทางเดียว คือ สาธารณรัฐ ประชาชนชี้ทางข้อเสนอให้แล้ว นอกจากนี้ เราจะต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกโดยเร็วด้วย เพราะไม่เคยสนใจประชาชน ไม่เคยเห็นหัวประชาชน ในขณะที่ประชาชนอดตาย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังอยู่ในตำแหน่ง ยืนยันว่าเราต้องยกเลิก 112 ให้ได้ และตนพร้อมสู้ตาย
ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า คำปราศรัยของ นายธนพัฒน์ในวันนั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะล้มล้างการปกครองหรือไม่
ในขณะเดียวกันวันนี้ (10 พฤศจิกายน 2564) ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเฉพาะการกระทำในการชุมนุมปราศรัยของอานนท์ ภาณุพงศ์ และ ปนัสยา เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ไว้พิจารณาวินิจฉัย โดยวันนี้จะมีการวินิจฉัยว่า คำปราศรัยของ 3 แกนนำนั้น จะเข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป