“อดีตรองอธิการมธ.” ผิดหวัง คนรุ่นใหม่ ไม่แยกแยะผิด-ถูก ป้อง “หมอบุญ”หลังถูกฟ้อง แต่กลับโจมตีหยาบคาย “หมอยง”
จากกรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ที่กำลังเร่งที่จะฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยมีมติเห็นชอบการให้วัคซีนโควิด 19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวการให้วัคซีนโควิดสลับชนิด ระบุว่า วัคซีนชนิดเชื้อตาย Sinovac ที่คิดค้นมา มีภูมิต้านทานสูงกว่าคนที่เคยได้รับเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิมมาแล้ว ซึ่งตอนต้นหลังการได้รับวัคซีนนี้จะมีภูมิต้านทานสูง แต่ไวรัสมีการพัฒนาตลอดเวลาทำให้ไวรัสหลบหลีกวัคซีนเชื้อตายได้ง่ายกว่า
ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแนวร่วมสามกีบที่ได้มีการโจมตีหมอยง และมีการเข้าไปเปลี่ยนประวัติหมอยงในวิกิพีเดียว่า เป็นเซลล์ขายวัคซีนซิโนแวค
ล่าสุดทางด้าน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า
ขณะนี้ผู้ที่ทำงานหนักและเป็นผู้ที่น่าเห็นใจที่สุดในวงการแพทย์คงไม่พ้น คุณหมอยง ภู่วรวรรณ ผู้ซึ่งพยายามเรียกร้องให้ประชาชนรีบไปรับการฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องเกี่ยงว่าจะเป็นวัคซีนยี่ห้อใด ด้วยเหตุนี้ คุณหมอยงต้องเผชิญกับการถูกโจมตี ด้วยถ้อยคำหยาบคายใน social media จากฝ่ายชู 3 นิ้ว ที่โจมตีรัฐบาล และโจมตีวัคซีนทุกตัวที่รัฐบาลจัดหามาได้ในระยะแรกนี้
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่สมควรถูกตำหนิมากที่สุดคือผู้ที่เข้าไปเติมข้อความที่เป็นเท็จในประวัติของคุณหมอยงใน wikipedia ว่าเป็นเซลส์ขายวัคซีน Sinovacให้กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งยังนำไปเผยแพร่ใน social media ต่างๆ ทำให้มีผู้เข้าใจผิดเข้ามาด่าคุณหมอยงกันอย่างสาดเสียเทเสีย นำความเสื่อมเสียมาสู่คุณ
หมอยง อย่างมาก
ในที่สุดตำรวจก็สามารถสืบจับผู้ที่กระทำผิดได้ เป็นชายหนุ่ม คนรุ่นใหม่อายุ 24 ปี เพิ่งเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ขณะกำลังถูกควบคุมตัวที่บ้านของตัวเอง ชายคนนี้ยังแสดงท่าทีไม่ยี่หระ และยกมือชู 3 นิ้ว อย่างภาคภูมิใจในการกระทำของตน จนคุณแม่ของผู้ต้องหาคนนี้ถึงกับพูดว่า
“อยากให้มีปัญหามากกว่านี้หรือ”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะจับกุม สะท้อนให้เห็นถึงความร้าวฉานและเกลียดชังกันระหว่างคนไทยด้วยกัน ลึกลงไปจนถึงระดับครอบครัว สั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ และลูก การกระทำของชายหนุ่มผู้นี้ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมทั่วไป ถือเป็นการกระทำที่เลวร้ายอย่างถึงที่สุด เพราะเป็นการทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายร้ายแรงด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ แต่ก็ไม่เห็นมีใครในฝ่าย 3 นิ้ว ออกมาตำหนิการกระทำครั้งนี้ เหมือนอย่างที่ตำหนิคุณหมอยงเลย
นอกจากไม่มีคำตำหนิแล้ว ยังไม่พอ ล่าสุด ส.ส. ผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งจากพรรคก้าวไกล กลับยังคงโพสต์โจมตีคุณหมอยง ด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม มีคำว่า “ระยำ” แม้ไม่เอ่ยชื่อเพราะนำหน้าเพียงคำว่า “หมอ” แต่ทุกคนรู้ว่า หมายถึงใคร และนำคลิปที่คุณหมอยงเคยขึ้นเวทีกปปส มาให้ดูในโพสต์เดียวกัน เพื่อจะบอกพวกเดียวกันว่า คุณหมอยงเป็นพวก กปปส เป็นฝ่ายตรงข้าม เชื่อถือไม่ได้
ในทางกลับกัน คุณหมออีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์นักธุรกิจ กำลังได้รับกำลังใจจากกลุ่ม 3 นิ้ว ดังใน page ของนาย ธนวัฒน์ วงศ์ชัย ซึ่งมีจำนวนคนติดตามเหยียบล้าน ได้ขอแรงทุกคนให้ช่วย save หมอบุญ ที่ออกมาวิจารณ์องค์การเภสัชกรรมเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งกำลังจะถูกองค์การเภสัชกรรมฟ้อง และบอกว่าหมอเดียวที่จะให้ความเคารพคือหมอบุญ ไม่ใช่หมอยง
เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า ประเทศเรามีความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะเหตุผลทางการเมือง จนถึงขั้นที่ ไม่แยกแยะว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ใครตามที่ทำสิ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเอง ถือเป็นความถูกต้องเสมอ ใครก็ตามทำสิ่งที่เป็นผลเสียต่อฝ่ายตัวเอง หรือไม่เป็นไปตามที่ฝ่ายตัวเองต้องการ ย่อมเป็นความผิดที่ต้องช่วยกันโจมตีให้เสียหายโดยไม่เลือกวิธีที่ใช้ ความต้องการเอาชนะกันในทางการเมือง ถึงกับทำให้เรามองข้ามหลักจริยธรรมที่สมควรต้องยึดมั่นกันไปหมดแล้วหรือ เช่นนั้น คนรุ่นใหม่ที่ต้องการสังคมที่ดีขึ้น จะแตกต่างจากนักการเมืองน้ำเน่าที่ตัวเองรังเกียจอย่างไร น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศไทยจริงๆ
สำหรับนพ.บุญ วนาสิน หรือ หมอบุญ ที่เมื่อวานนี้ (14 กรกฎาคม 2564) ทางองค์การเภสัชกรรม ได้แจ้งความเอาผิดในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เป็นเหตุให้องค์การเกสัชได้รับความเสียหาย กรณีเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา จากกรณีที่ให้สัมภาษณ์พาดพิง “องค์การเภสัชกรรม” ว่า ทางองค์การเภสัชฯ จะชาร์จค่า management 5% ถึง 10% ตัวเลขต้นทุนอาจเลย 2 พันกว่าบาท ส่วนกรณีโมเดอร์นานำเข้ามา องค์การเภสัชฯ จะซื้อก่อน คือทุกคนจะต้องไปซื้อองค์การเภสัชฯหมด คิดค่าบริการ 10% ซึ่งทำให้องค์การเภสัชกรรม ได้รับความเสียหาย จนกลายมาเป็นเรื่องการแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาท และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ