พปชร. อย่าประมาท! มั่นใจบัตร 2 ใบ ได้เปรียบกว่า? จับตา “ภูมิธรรม” ขุนพลทักษิณ-พจมาน รับใบสั่งขับเคลื่อนเพื่อไทย!?
จากกรณีที่ พรรคพลังประชารัฐยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ “ระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ” ที่ย้อนยุคกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบคลาสสิก ตามรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเป็นระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบหนึ่งเลือกคนที่ใช่ ใบหนึ่งเลือกพรรคที่ชอบ แม้ว่าการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 หลังรัฐประหาร 19 กันยา พยายามแก้ระบบเลือกตั้ง กันระบอบทักษิณกลับเข้าสู่อำนาจ สุดท้ายก็ต้องกลับมาแก้ไขให้กลับไปสู่กติกา บัตร2ใบ ตามรัฐธรรมนูญ 40 เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกปรับแต่งระบบเลือกตั้งมาเป็น บัตรเลือกตั้งใบเดียว เมื่อถึงคราวแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบบเลือกตั้งบัตร2ใบก็กลับมาอีกครั้ง
ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐ ก็มั่นใจว่า การใช้ระบบการเลือกตั้งแบบใช้บัตร 2 ใบ จะได้เปรียบมากกว่า ในขณะที่ทางด้าน พรรคเพื่อไทยก็มีจุดยืนที่จะแก้เป็นการใช้บัตร 2 ใบ เช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่า ฐานเสียงยังเหนียวแน่นและมั่นใจว่าพรรคตัวเองจะได้เปรียบ
อย่างที่ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาพูดถึงระบบการเลือกตั้งว่า ในเรื่องเลือกตั้งก็มีระบบเขต 400 เขต ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน ไปถึงก็โหวต 2 ใบ ใบหนึ่งเลือกคน อีกใบเลือกพรรค ก็เอาใบของคนมาตัดสินเขตนั้นเลย พรรคก็เอามาดู กกต. กลาง ว่าใครได้เท่าไร ข้อดี ประชาชนได้เลือกทั้งพรรคทั้งคน ประชาชนตัดสินได้เองว่าจะเลือกพรรคอะไร ส.ส. คนไหน ซึ่งผมไม่ค่อยมีปัญหา แบบปี 2540 ชัด ประชาชนชิน ถ้ากลับไปอีก อย่างที่ก้าวไกลบอกว่า 2 บัตรแบบเยอรมนีนั้น ผมไม่ชำนาญเลยไม่รู้ เพราะผมเองเป็นผลผลิตของปี 2540
ในขณะที่ทางด้านพรรคก้าวไกล จุดยืนของพรรคก้าวไกลต่อการแก้รัฐธรรมนูญ คือ เสนอระบบการเลือกตั้งเป็น ‘ระบบจัดสรรปันส่วนผสม’ ที่ใช้ ‘บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ’ กล่าวคือ เลือก ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 1 ใบ และเลือกพรรคการเมืองอีก 1 ใบ โดยนำคะแนนเลือกพรรคการเมืองมาใช้คำนวณจำนวน ส.ส. พึงมีของแต่ละพรรค เพื่อให้เสียงของประชาชนไม่ตกน้ำ และได้สัดส่วน ส.ส. ของแต่ละพรรคตามเจตนารมณ์ของประชาชนมากที่สุด ซึ่งหมายถึงเสียงของประชาชนส่วนทุกเสียงต้องถูกนับ รวมถึงเสียงส่วนใหญ่ที่ประกาศว่าไม่เอาการสืบทอดอำนาจต่อไปของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย
ในขณะที่ทางด้านของ นายรังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แสดงความเห็นต่อกระแสการแก้รัฐธรรมนูญ และมีการพาดพิงไปถึงนายทักษิณ ชินวัตร โดยมีเนื้อหาบางส่วนว่า
” แลนด์สไลด์… ไปทางไหน? เพื่อใคร? เพื่อไทย? เพื่อประชารัฐ?
ถึงตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจุดมุ่งหมายของพรรคเพื่อไทยในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องระบบการเลือกตั้งที่ยอมเล่นตามเกมของพรรคพลังประชารัฐ รื้อกรอบจำนวน ส.ส. พึงมีออกไป แล้วไปเน้นหนักที่การเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 400 คน (เพิ่มจากเดิมขึ้นมา 50 คน) ก็คงเป็นอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ คือเพื่อหวังให้เกิดการเทคะแนนไปที่พรรคใดพรรคหนึ่งอย่างเต็มที่ ด้วยข้ออ้างว่าหากเป็นเบี้ยหัวแตกแล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ยาก
พูดง่ายๆ คือหวัง “แลนด์สไลด์” แบบที่ตัวเองเคยได้ในอดีต โดยค่อยไปวัดพลังกับพรรคพลังประชารัฐเอาดาบหน้า ในที่นี้ ผมคงไม่ลึกลงรายละเอียดถึงปัญหาเชิงหลักการของข้อเสนอระบบการเลือกตั้งดังกล่าว เพราะทั้งผมและพรรคก้าวไกลได้พูดไปพอสมควรแล้วก่อนหน้านี้ แค่ขอย้ำว่าระบบการเลือกตั้งดังกล่าวมีปัญหาแน่ๆ ในการทำให้สัดส่วนระหว่างจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองกับจำนวนประชากรที่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ไม่เหมาะสมกัน บางพรรคจะได้ ส.ส. เกินส่วนประชาชนที่เลือก ในขณะที่บางพรรคก็จะได้ ส.ส. ขาดส่วนประชาชนที่เลือกเช่นกัน แต่แค่อยากจะขอถามไปยังพรรคเพื่อไทย ว่า “แลนด์สไลด์” ที่คาดหวังนี้ จะไปในทิศทางไหนกันแน่?
ต่อมาทางด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.ก้าวไกล ได้ออกมาเคลื่อนไหว ซัดเดือดพรรคฝ่ายค้าน โดยทวีตข้อความว่า “เมื่อ ส.ว. ส่งสัญญาณว่า จะะยกมือให้กับร่างของพลังประชารัฐเท่านั้น และจะตีตกร่างของฝ่ายค้านทุกฉบับ ถ้าพรรคฝ่ายค้านไหน ยอมยกมือให้ ก็เท่ากับว่า ยอมตกอยู่ในอาณัติของ คสช. ยอมรับเศษประโยชน์ ที่เขาเจียดมาให้ โดยไม่คิดถึงประชาชนเลย สบายใจได้เลย ไม่มีพรรคไหนยกมือให้หรอกครับ”
และก่อนหน้านี้ยังกล่าวอีกด้วยว่า “ในที่สุด ผมเชื่อว่าจะไม่มีพรรคฝ่ายค้านไหนยกมือให้กับร่างของพลังประชารัฐเพราะรู้อยู่แล้วว่า เป็นการแก้เพื่อเสริมนั่งร้านให้กับ คสช. ถ้าไปยกมือให้ แล้วเลือกตั้งใหม่ การสืบทอดอำนาจของ คสช. ยังคงสืบเนื่อง ปชช. ยังคงถูกคุกคาม พรรคฝ่ายค้านที่ไปยกมือให้ จะอธิบายกับ ปชช. ยังไง”
ล่าสุดทางด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว แสดงทรรศนะในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยระบุข้อความว่า
แน่นอนว่า ภูมิธรรม ไม่ว่าจะนั่งในตำแหน่งไหนก็ตาม ก็ยังคงมีความสำคัญเป็นหัวใจของทักษิณและคุณหญิงพจมาน
จึงได้มีประกาศิตเรียก นายภูมิธรรมกลับมาคุมบังเหียนเพื่อไทยอีกครั้ง และนั่นก็หมายความว่า ได้เกิดการเชื่อมโยงกันอย่างเห็นได้ชัด ระหว่าง ทักษิณ แดนไกล และคุณหญิงพจมาน เพื่อขับเคลื่อนพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้น บางคนใน พรรคพลังประชารัฐ ที่คิดว่า ทักษิณหรือไร้ราคา ไม่มีอำนาจ ถือว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลยทีเดียว