อดีตพระพรหมดิลก โผล่ห่มจีวรพบมีความผิด!คดีเงินทอนยังไม่สิ้นสุด

7969

จากที่อรรณพ บุญสว่าง ทนายความนายเอื้อน กลิ่นสาลี อดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา กล่าวถึงศาลพิพากษายกฟ้องว่า เนื่องจากเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการใช้เงินดังกล่าวเพื่อฟอกเงิน

ทั้งนี้งบดังกล่าวทางวัดสามพระยาจัดให้มีการศึกษาในแผนกสามัญด้วย วัดสามพระยาจึงมีสิทธิรับงบประมาณนี้ ดังนั้นการใช้เงินใช้จ่ายในวัดสามพระยาไม่ได้เป็นการฟอกเงิน จึงยกฟ้องจำเลยทั้งสอง

เมื่อถามเกี่ยวกับคดีนี้จะขึ้นสู่ศาลฎีกาหรือไม่ นายอรรณพ กล่าวว่า จะต้องรอให้อัยการโจทก์เป็นผู้พิจารณาตามข้อกฎหมาย วันนี้จำเลยทั้งสองก็ดีใจที่ศาลอุทธรณ์มีความเห็นตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ว่าเงินส่วนนี้ให้ใช้ในการก่อสร้างอาคารซึ่งเป็นที่พักของพระสงฆ์

ส่วนเรื่องสมณเพศของจำเลย นายอรรณพ กล่าวว่า ความจริงแล้วท่านทั้งสองก็ไม่ได้เปล่งวาจาสึก ยังรักษาดำรงพฤติการณ์เสมือนตอนเป็นพระอยู่ แต่ในทางกฎหมายอาจจะยังมีข้อโต้แย้ง ต้องทำความเข้าใจกัน ซึ่งจริงๆ แล้วท่านตั้งใจว่าหากศาลยกฟ้องจะเรียกร้องสิทธิในการแสดงออกด้วยการห่มเหลือง

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำเลยทั้งสองซึ่งได้รับการประกันตัว สวมชุดขาวเดินทางมาศาล พร้อมมีกลุ่มพระสงฆ์และกลุ่มฆราวาสเดินทางมาร่วมติดตามฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำเลย

ต่อมามีรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นหลังออกจากศาล อดีตพระพรหมดิลก และนายสมทรง อรรถกฤษณ์ อดีตพระอรรถกิจโสภณ ได้กลับมายังวัดสามพระยา กลับครองจีวร สู่สมณเพศ มีการสวดมนต์บทสังฆปิติถวายในพระอุโบสถ พร้อมอ่านคำพิพากษายกฟ้องในพระอุโบสถต่อหน้าคณะสงฆ์ โดยพระทั้ง 2 รูป กลับมถือสมณเพศ โดยไม่ได้อุปสมบทใหม่

อย่างไรก็ตามผลคดีอดีตพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยกรณีทุจริตงบเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พ.ศ.)

1. คดีความผิดมูลฐาน/เจ้าพนักงานปบ.หน้าที่โดยทุจริต (ปอ.ม.157) ศาลชั้นต้นพิพากษา (5 มี.ค.63) ว่า ผิดฐานสนับสนุนจำคุก 8 เดือน รอลงอาญาไว้ 1 ปี

2. คดีอาญาฟอกเงิน
2.1 ชั้นสอบสวนจำเลยถูกจับและศาลมีคำสั่งให้ขัง จึงถูกเจ้าพนักงานใช้อำนาจตามพรบ.คณะสงฆ์ฯ ม.30 สละสมณเพศก่อนเข้าเรือนจำ ทำให้ขาดจากการเป็นพระภิกษุแล้วตามกฎหมาย
2.2 ศาลชั้นต้นพิพากษา (16 พค.62) ว่าจำเลยผิดฐานฟอกเงิน ให้จำคุก 6 ปี
2.3 ศาลอุทธรณ์พิพากษา (23 ก.ย.63) ว่าจำเลยไม่รู้เป็นเงินที่ไม่มีสิทธิได้รับ จึงขาดเจตนา ไม่ผิดฐานฟอกเงิน ให้ยกฟ้อง

3. คดีแพ่งฟอกเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เงินของจำเลยเป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำผิด จึงให้ตกเป็นของแผ่นดิน 1.7 ล้านบาท

4. ข้อพิจารณา
4.1 ตาม 2.1  จำเลยขาดจากการเป็นพระภิกษุแล้วย่อมไม่สิทธิแต่งกายเป็นพระภิกษุอีก หากฝ่าฝืนผิด ปอ.ม.208 (แต่กายเลียนแบบพระภิกษุ) เว้นแต่จะเข้าบรรพชาอุปสมบทใหม่

4.2 แต่จำเลยยังเข้าบรรพชาอุปสมบทไม่ได้เพราะต้องห้ามตามกฎมหาเถรสมาคม (มส.)ฉบับที่ 17 ข้อ 14 เนื่องจากจำเลยยังต้องคดีอาญา โดยตาม 2.2 จำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผิด จำคุก 6 ปี  แม้ปัจจุบันตาม2.3 ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกฟ้อง แต่ตาม 1 จำเลยยังอยู่ระหว่างรอการลงโทษ 1 ปีจะพ้นเมื่อ 5 มี.ค.2564
4.3 จะเห็นได้ว่าจำเลยทราบดี จึงแต่งชุดขาวมาศาลตลอด
4.4 แต่หลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตาม 2.3 ปรากฎภาพจำเลยเผยแพร่ในสื่อว่าจำเลยสวมจีวรร่วมพิธีสังฆปิติ (สวดแสดงความยินดี)กับคณะสงฆ์ที่วัดสามพระยา
4.5 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ปอ.ม.208

ขอบคุณที่มาภาพ : เฟซบุ๊กปริทัศน์ ทิพย์โอสถ