หมิ่นเหม่อีกแล้ว!? “ปิยบุตร” จินตนาการสูง รีบโยง “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” กระทบชิ่ง “สถาบันฯ” โยนความผิดให้ ม.112 และอำนาจพระมหากษัตริย์!?
จากกรณีตำรวจกองปราบ ได้ทำการเข้าทลายเครือข่ายฉ้อโกงนับพันล้านของ นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จับกุมไปแล้ว 4 คน คือ พ.ท.พญ.อมราภรณ์ ประธานโครงการ “เที่ยวเพื่อชาติ” น.ส.ณัฐวรรณ , น.ส.สิริมา และนายกิตติวัฒน์
ซึ่งได้มีรายงานต่อมาว่า ทางด้านของ ประสิทธิ์ เจียวก๊ก หัวหน้าขบวนการ กับ นายกิตติศักดิ์ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือ ได้ทำการหลบหนีการจับกุม และต่อมาได้เข้ามอบตัวแล้วในเช้าของวันที่ 17 พ.ค.64
ทั้งนี้จากการตรวจค้นพบว่า ภายในห้องทำงานส่วนตัวของนายประสิทธิ์ พบ รูปถ่ายคู่กับข้าราชการ นักการเมือง และผู้มีชื่อเสียงทางสังคมเป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างความน่าเชื่อให้กับประชาชนทั่วไป
โดยในวันที่ 16 พ.ค.64 ทางด้านของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็ได้นำเรื่องของ นายประสิทธิ์ มาโหน พร้อมกับโยนความผิดกับเรื่องนี้ทั้งหมด ไปให้กับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการตรวจสอบงบประมาณสถาบันไม่ได้ ซึ่งครั้งนี้ปิยบุตร ถือว่ามีคำพูดที่หมิ่นเหม่เป็นอย่างมาก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
[ จากกรณีประสิทธิ์ เจียวก๊ก ถึงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ]
กรณีกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จับกุมขบวนการฉ้อโกงที่มี ประสิทธิ์ เจียวก๊ก เป็นหัวหน้าใหญ่ ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ #ประสิทธิ์เจียวก๊ก กันมาก
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นหนึ่งที่ไม่ถูกหยิบยกมาพูดถึง ก็คือ การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
สองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร?
เป็นที่ทราบกันดีว่า ประสิทธิ์มีบทบาทสำคัญในการอบรมจิตอาสาพระราชทาน และปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือ IO (ดังที่ คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช ได้เปิดโปงเรื่องนี้ไว้) หลายครั้งประสิทธิ์อ้างเรื่องความจงรักภักดีของตนเอง ถึงขนาดเปิดเสื้อโชว์รอยสักบนหน้าอกว่า “ทรงพระเจริญ” กลางรายการโทรทัศน์มาแล้ว
ล่าสุด รองหัวหน้าพรรคกล้า ออกมาวิจารณ์ว่า คนแบบนี้เลวยิ่งกว่าคนที่กระทำผิด 112
หลายคนวิจารณ์ว่าประสิทธิ์กระทำการไม่บังควร โหนเจ้า นำสถาบันกษัตริย์มาอ้างหาประโยชน์ คนที่เคยสนับสนุนประสิทธิ์ต่างกระโดดหนี บ้างอ้างว่าไม่ได้รู้จักแค่รับจ้างทำรายการให้ บ้างก็ลบคลิปที่เคยสนับสนุน
คนที่สมาทานประกาศตนว่าจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง เคยชื่นชมประสิทธิ์ พร้อมที่จะกระทืบประสิทธิ์ให้จมดิน
จนทำให้สังคมหวนกลับไปนึกถึงกรณีที่เกิดขึ้นกับ “หมอหยอง” ที่ยามขึ้นหม้อ ทุกคนแห่แซ่ซ้องสรรเสริญ อยากใกล้ชิดสนิทสนม ยามประสบเหตุเพทภัย แต่ละคนไม่เพียงกระโดดหนี แต่พร้อมจะขยี้กระทืบซ้ำ
กรณีแบบ “หมอหยอง” ก็ดี กรณีแบบ “ประสิทธิ์” ก็ดี และอีกหลายๆ กรณี ทำไมจึงเกิดขึ้นได้ เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกวนไปมา หมดคนนี้ ก็มีคนนั้นต่อ
ผมอยากเชิญชวนวิญญูชนผู้มีจิตใจเป็นธรรม มีเหตุมีผล คิดอย่างโยนิโสมนสิการ ให้รอบด้าน
คนที่อ้างตนว่าจงรักภักดีที่สุดอย่างไม่อาจหาใครมาเสมอเหมือน คนที่ทำกิจกรรมการกุศล ธุรกิจ หรือแม้กระทั่งใช้อำนาจรัฐ ทำโครงการที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน แล้วต้องอ้างเชื่อมโยงไปถึงสถาบันกษัตริย์ หรือต้องทำไปพร้อมกับประกาศความจงรักภักดีของตนเองให้โลกรู้
ทำไมเขาต้องอ้าง? ทำไมเขาต้องโหน?
ใช่หรือไม่ว่า เพราะพวกเขาทราบดีว่า การอ้าง การโหน จะช่วยเป็นเกราะกำบังคุ้มกันให้เขา?
ใช่หรือไม่ว่า คนที่ต้องการวิจารณ์ คนที่ต้องการตรวจสอบ พอเห็นคนเหล่านี้อ้าง โหน ขึ้นมา ก็เกิดความกังวลใจ เกรงกลัว ไม่กล้าที่จะวิจารณ์หรือตรวจสอบอย่างเต็มที่?
ลองคิดจินตนาการดูว่า…
หากสถานะของสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทยไม่มีอำนาจและบทบาท ทั้งตามกฎหมายและตามประเพณีมากจนเกินขอบเขตของระบอบ Constitutional-Parliamentary Monarchy
หากไม่มีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ถูกใช้และตีความจนไม่มีมาตรฐานและคาดหมายไม่ได้ว่าการแสดงออกแบบใดถือว่ามีความผิด เช่นทุกวันนี้
หากมีระบบการตรวจสอบงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ได้อย่างเต็มที่เหมือนกับงบประมาณของส่วนราชการอื่น
หากมีเสรีภาพในการแสดงออกอย่างไม่ต้องกังวลว่าจะโดน #นิติสงคราม กลั่นแกล้ง
การอ้าง การโหน สถาบันกษัตริย์ของคนเหล่านี้ จะทำได้สำเร็จหรือไม่? พวกเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการอ้าง การโหน?
ต่อไปจะมีใครต้องการอ้าง ต้องการโหน สถาบันกษัตริย์อีก ก็ในเมื่อสถาบันกษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจและบทบาทตามกฎหมายและประเพณีที่มากล้นอีกแล้ว?
ดังนั้น การตำหนิติเตียนคนอ้างคนโหนสถาบันกษัตริย์แต่เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอ เราต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับประชาธิปไตย เพื่อรักษาประชาธิปไตย เพื่อรักษาสถาบันกษัตริย์
ถ้าทำได้เช่นนี้
เราก็จะไม่มีกรณีแบบ “หมอหยอง”
เราก็จะไม่มีกรณีแบบ “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก”
เราก็จะไม่มีกรณีคนอ้าง คนโหน สถาบันกษัตริย์อีกต่อไป
#ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ #ปฏิรูปสถาบัน