แกนนำสามกีบ กลัวแป๊ก ปลุกระดมโหนชุมนุมพม่า ไม่เบิ้มอย่างที่คิด ประกาศลั่น เตรียมเสื้อเกราะ จัดหนัก

3230

จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก “ราษฎร” ได้ออกมาเคลื่อนไหวประกาศนัดชุมนุม รวมพลคนไม่มีจะกิน ตีหม้อไล่เผด็จการ ในเย็นวันที่ 10 ก.พ. นี้

 

โดยบอกว่า รวมพลคนไม่มีจะกิน ตีหม้อไล่เผด็จการ พบกันที่สกายวอล์ก หน้า MBK Center 10 กุมภาพันธ์ 2564 ตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป ราษฎรร่วมกับเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ร่วมกันประกาศกร้าว ว่าเราจะไม่ยอมทนอีกต่อไป

ในเมื่อรัฐบาลประยุทธ์ยังคงเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของประชาชน ปล่อยให้คนไทยอดตาย รับกรรมทั้งขึ้นทั้งล่อง งานก็ไม่มี เงินเยียวยาก็ไม่ได้ ทั้งที่ผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคต่างออกมาเรียกร้อง ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกันไม่เว้นแต่ละวัน รัฐบาลก็ยังแก้ปัญหาแบบขยักขย่อน ทำงานแบบขอไปที รัฐบาลแบบนี้มีไว้ทำไม

พร้อมปลุกระดมให้ม็อบเตรียมหม้อเตรียมไม้มาเคาะ ส่งเสียงตะโกนไล่เผด็จการในคราบรัฐบาลไร้ประโยชน์ด้วยกัน แม้พวกแกนนำจะกล่าวต่ออีกว่า ให้ปฏิบัติตามหลักเว้นระยะห่างในช่วงสถานการณ์โควิด แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ควรที่จะออกมาชุมนุมในเวลานี้ เพราะถือว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้ออยู่มาก โดยเฉพาะในพื้นที่กทม.


ส่วนทางด้านนายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ก็บอกด้วยว่า นี่คือเริ่มต้น “ยกที่ 1” ด้านทราย เจริญปุระ ก็โพสต์เหน็บรัฐบาลว่า “ไม่ใช้เราชนะ | ใช้ภาชนะ” รวมทั้งนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ กลุ่มขอนแก่นพอกันที ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ผ่านเฟซบุ๊ก ว่า “ได้ฤกษ์”

ทั้งนี้นับว่านี่คือการปลุกระดมเรียกคนออกมาชุมนุมใหญ่ ในช่วงปี 2564 ตามที่ทนายอานน์บอกว่า ปีนี้จะมาแบบเบิ้ม ๆ แต่ที่ผ่านมาก็สังเกตได้ว่า พวกแกนนำพยายามที่จะหาช่องว่างปลุกระดมคนอยู่ตลอด เช่น เวลาโดนคดี โดนหมายจับ เพ้อว่าตัวเองจะโดนจับ ในวันนั้น วันนี้ ถูกอุ้ม ต่าง ๆ นานา ที่พยายามจะเรียกคนออกมาให้ได้มากที่สุด แต่ก็กลับไม่ประสบความสำเร็จ อย่างเมื่อครั้งชุมนุมใหญ่ วันที่ 19 ก.ย. 2563 กลุ่มแกนนำและผู้ชุมนุมอ้างว่า มีคนมาร่วมกว่า 1 แสนคน จนแน่นพื้นที่สนามหลวง และปักหลักยาวไปจนถึงวันที่ 20 ก.ย. 2563

โดยทางสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานถึงกำหนดการรวมตัวของผู้ประท้วงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พาดหัวข่าวว่า ผู้ประท้วงชาวไทยคาดหวังการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งอ้างอิงจากคำพูดของเพนกวิน หรือนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หนึ่งในแกนนำผู้ประท้วง ที่ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า การชุมนุมครั้งนี้จะสร้างประวัติการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557 และเชื่อว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมมากถึง 100,000 คน

ส่วนทางด้านตำรวจ คาดว่ามีคนมาร่วมการประท้วงราว ๆ 50,000 คน และพร้อมที่จะเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่รับมือ แต่เมื่อถึงวันจริง พบว่ามีผู้ชุมนุมเข้าร่วมประมาณ 20,000 คน และเหล่าแกนนำได้ขึ้นปราศรัย ด้วยถ้อยคำที่มีเจตนาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน

และทางเพจ กปปส. ลุมพินี ได้โพสต์ข้อความถึงเหตุการณ์ในวันชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม 19 กันยา ถึงกรณีอัตราค่าจ้างขนคนมาร่วมม็อบแดง นปช.ก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพังประตูบุกเข้าธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และบุกยึดสนามหลวง โดยระบุข้อความว่า เผย..อัตราค่าจ้างขนคนมาร่วมม็อบแดง นปช.ก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้

จากการข่าวสายในกลุ่มทุยแดงแฝงกาย นปช.ที่บรรดาผู้แทนฝ่ายแค้นกบฎขนมาก่อเหตุความรุนแรงในครั้งนี้ หัวละ 1,000 บาท อาหารฟรีครบ 3 มื้อ รถรับส่งฟรี ค่าจ้างการ์ดหัวละ 2,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการจัดม็อบครั้งนี้ 40 ล้านอัพ แต่ผิดแผนเพราะขนทุยแดงส่วนใหญ่มาจากภาคกลาง เหนือ และอีสาน มาได้น้อยแค่ราว 5,000 ราย เพราะติดปัญหาฝนตกน้ำท่วมบ้านจากพายุโนอึน หลายคนห่วงบ้านไม่อยากมา แต่บรรดานักเรียนนักศึกษาเบี้ยวดื้อ ๆ เพราะส่งข่าวบอกกันกลัวทุยแดงตกมันมากจึงไม่กล้ามา ที่เหลือก็มวลชนในเขตรอบนอกชานกรุงอีกนิดหน่อยเท่านั้น

พอจะถึงการชุมนุมวันที่ 14 ตุลา แกนนำก็ปลุกระดมคนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผู้ชุมนุมก็ออกมาน้อยกว่าจำนวนที่แกนนำคาดไว้ คำว่า “มืดฟ้ามัวดิน” ที่แกนนำพยายามกล่าวอ้าง จึงไม่เกิดขึ้นจริง หรือจะให้เทียบเคียงง่าย ๆ คือยังห่างไกลเมื่อครั้งที่มีการชุมนุมของกลุ่มกปปส.

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา หลังจากศาลไม่ให้ประกันตัว นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และ นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ 4 ผู้ต้องหา แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร จนทำให้มีการรวมตัวชุมนุมกันที่สกายวอล์ก แยกปทุมวัน โดยบรรยากาศมีประชาชนทยอยกันมารวมชุมนุมและมีการปราศรัยจากตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ปทุมวัน จัดกำลังตำรวจเข้าดูแลความสงบทั้งในและนอกเครื่องแบบ ซึ่งพบว่ามีผู้ชุมนุมมาร่วมไม่ถึง 100 คนด้วยซ้ำ


จนทางด้านพ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ปทุมวัน ได้อ่านประกาศขอให้ยุติการชุมนุม เนื่องจากผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ระหว่างนั้นก็ยังมีแนวร่วมเข้าไปเคาะหม้อ และตะโกนด่าทอด้วยไม่ความไม่พอ และผลักเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย


ล่าสุดทางกลุ่มแกนนำได้มีความพยายามที่จะโหนกระแสการชุมนุมในเมียนมา นำมาสู่การชุมนุมในเย็นวันที่ 10 ก.พ. 2564 โดยนายสมบัติ ทองย้อย การ์ดหนุนม็อบ 3 นิ้ว ได้เคลื่อนไหวบอกว่า “ชุดไปตีหม้อก็จะมี หมวกกันน๊อค แว่นตา หน้ากากกันแก็ส เสื้อเกราะ วิทยุสื่อสาร และที่สำคัญ หม้อใบพอดีมือ” คำกล่าวนี้ย่อมสะท้อนว่า ฝ่ายม็อบปลุกระดมสถานการณ์ขึ้นมาก่อน เพื่อต้องการให้ม็อบจุดติดด้วยความรุนแรง

แต่ที่ผ่านมาทั้งการ์ดและแกนนำ มาการแบ่งกลุ่ม แตกคอ ทะเลาะกันอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับที่รุ้ง ปนัสยา ออกมาเทม็อบสามย่าน และนายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ บุ๊ง ท่อน้ำเลี้ยงปลดแอก ยังออกมายอมรับด้วยว่า ม็อบแบ่งหลายก๊ก มีปัญหาทะเลาะกันจริง และยังลามด่าไปยังการ์ดอาชีวะว่าอีโก้สูง โดยคำพูดหนึ่งของบุ้ง บอกว่า “มีหลาย ๆ กลุ่มประกาศไม่รับเงินบริจาคเพราะกลัวในเรื่องของความไม่โปร่งใส

จะรับแค่ของเท่านั้น ตนถามหน่อยว่าใครจะมีปัญญาไปหาซื้อของมาให้ ชาวบ้านส่วนมากเค้าสะดวกโอนทั้งนั้น ทีนี้พอเกิดปัญหาเมื่อคืนเรื่องอาชีวะถูกยิง ก็มีดราม่าว่า ตนไม่มีอุปกรณ์ป้องกันให้อาชีวะ หาว่าตนเอาเงินไปซื้อเอเลี่ยนตัวใหญ่ ๆ มาตั้งโชว์ แต่ในความเป็นจริง…ตนพยายามจะเสนออุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ให้อาชีวะหลายกลุ่มมาแล้ว แต่เค้าไม่เอากัน ”

อย่างไรก็ตามการชุมนุมในวันนี้ที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางความไม่ลงรอยของแกนนำและการ์ดม็อบ บวกกับกระแสของ 3 นิ้ว เริ่มหดหาย คนจำนวนมากตาสว่างกับม็อบ เพราะม็อบเอาแต่จาบจ้วงสถาบัน ไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นวันนี้ การจะจุดติดม็อบคงเป็นเรื่องยาก และกลุ่มคนก็คงไม่ออกมาอย่างที่แกนนำพยายามโหมไฟความรุนแรง ปลุกระดม