ขุนคลังยันสถานะเงินคงคลังไทยมั่นคง!?! รวยเป๋าตุงกว่า 4.7 แสนล้านบาท ย้ำเดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจระดับชาติ ชุมชนและประชาชน

1968

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ยืนยันว่า สถานะและเงินคงคลังของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่มั่นคง สำหรับข้อมูลที่ปรากฎในสื่อว่าประเทศไทยจะล้มละลายจึงไม่ใช่เรื่องจริง แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลจะมีการออก พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินมาเพื่อใช้จ่ายสำหรับรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากงบประมาณประจำปีทำไม่ได้ เพราะงบประมาณในส่วนดังกล่าวทั้งหมดมีการผูกพันกับหน่วยงานไปหมดแล้ว สำหรับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีแค่ 50% ถ้าเทียบกับฐานะการเงินของเราถือว่าอยู่ในภาวะดูแลได้ ที่สำคัญถือว่า เศรษฐกิจไทยผ่ายจุดต่ำสุดแล้ว ต่อไปเดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจทุกระดับ

“รัฐบาลจำเป็นจะต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ต้องคิดว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้มีอุปกรณ์ทางการแพทย์เพียงพอ ต้องเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักทั้งหมด คนตกงานไม่มีงานทำ และต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย ซึ่งงบประมาณปกติไม่เพียงพอจึงต้องกู้เงินมา 1 ล้านล้านบาท ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 50% ของจีดีพี แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบความมั่นคงทางการคลัง ที่กำหนดว่าหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 60% ของจีดีพี โดยหนี้ที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นเหมือนกันในหลายประเทศทั่วโลก” นายอาคม กล่าว

สำหรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ รมว.คลัง กล่าวว่า มีความแตกต่างกับการแพร่ระบาดในรอบแรกค่อนข้างมาก เพราะรอบแรกยังมองไม่เห็นเรื่องของวัคซีน ทำให้รัฐบาลต้องยอมสละด้านเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น ส่งผลให้ภาคธุรกิจเดือดร้อนทั้งหมด 

แต่ในครั้งนี้ รัฐบาลพยายามสร้างความสมดุลระหว่างภาพเศรษฐกิจและภาพของการป้องกันการแพร่ระบาด จึงไม่มีการล็อกดาวน์เพื่อหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด แต่ให้หยุดเฉพาะกิจกรรมที่มีความสุ่มเสี่ยงเป็นแหล่งแพร่เชื้อเท่านั้น อาทิ สถานบันเทิง ผับ บาร์ เป็นต้น ขณะที่ภาคธุรกิจอื่น ๆ ยังเดินหน้าได้ปกติ และมีการออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่ง ซึ่งที่ผ่านมา พบว่ายอดการใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนกว่าประชาชนยังคงมีการใช้จ่ายอย่างปกติ

นายอาคม กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องมีวัคซีน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันหลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยภูมิคุ้มกันดังกล่าว เกิดจากการบริหารจัดการความเสี่ยงในหลาย ๆ มิติ ซึ่งภูมิคุ้มกันหรือวัคซีนทางเศรษฐกิจของไทย มี 3 ระดับ คือ 

  1. ภูมิคุ้มกันของประเทศ มีตัวชี้วัดที่สำคัญ ได้แก่ การเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ต้องเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง จะสูงหรือต่ำไม่เป็นไร แต่ต้องต่อเนื่อง, ฐานะการเงินของประเทศ โดยปัจจุบันไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ 2-3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หากนำเงินก้อนนี้มาชำระหนี้ จะชำระหนี้ระยะสั้นได้ 3 เท่า จึงเป็นเครื่องสะท้อนถึงฐานะความมั่นคงของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

สำหรับสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก เพราะสิ่งที่ตามมาหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คือ ปัญหาการว่างงาน ปัญหาความยากจน ที่เกิดจากการปิดกิจการ ส่งผลทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นและรายได้ลด

  1. ภูมิคุ้มกันกลุ่ม คือ ภาคการผลิต ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวของไทยที่เจอปัญหาอย่างมากจากมาตรการล็อกดาวน์ของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของภาคการผลิตของไทย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

3. ภูมิคุ้มกันระดับประชาชน และแรงงาน โดยประชาชนต้องรู้จักการออมเพื่ออนาคตของตัวเอง ซึ่งมีหลายวิธี ทั้งการออมภาคบังคับ ผ่านกองทุนบำเหน็จบำนาญช้าราชการ (กบข.) กองทุนประกันสังคม และการออมภาคสมัครใจ ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) การออมกับประกันชีวิต ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองเมื่อเจอวิกฤติ รมว.คลัง กล่าวถึงแนวทางในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปนั้น ขณะนี้ กระทรวงการคลังกำลังเดินหน้าเยียวยาควบคู่ไปกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านโครงการ”เราชนะ” ที่จะดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบกว่า 31 ล้านคน ส่วนประชาชนในกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มแรงงาน หรือผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จะมีกองทุนประกันสังคม และมีมาตรการออกมาดูแลต่อไป โดยการเยียวยาในครั้งนี้ กระทรวงการคลังพยายามนำดิจิทัลแพลตฟอร์มเข้ามาใช้ให้มากที่สุด ซึ่งต่อไปจะสามารถนำไปพัฒนาเป็นระบบฐานข้อมูลในการดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึงในอนาคต