อดีตรองอธิการบดีมธ. เอือมหนัก ธนาธร ยังแถปมไลฟ์วัคซีนโควิด ยังดึงดันหาช่องโจมตีสถาบันฯ

3053

จากกรณีวันที่ 20 ม.ค. 2564 ที่ผ่านมา นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มอบหมายทีมกฎหมายไปแจ้งความต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี( บก.ปอท.) ให้ดำเนินคดีกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า

กรณีไลฟ์สดผ่านเพจคณะก้าวหน้าเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดที่พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ฐานความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ ผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3) พร้อมกับได้ยื่นให้ศาลพิจารณาการกระทำดังกล่าว

โดย ศาลอาญาได้ตรวจสอบ พบเว็บไซต์ เผยแพร่ข้อความภาพและคลิปวีดีโอ ที่มีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร ปรากฎใน 3 URLs (รายการ) ประกอบด้วย พบว่าเป็นโพสต์ผ่านทางเพจเฟซบุ๊กและยูทูบของคณะก้าวหน้า

ศาลจึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3) ประกอบมาตรา 20 มีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ การไลฟ์สดของนายธนาธร เนื่องจากเห็นว่า เป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จึงสั่งระงับการทำให้แพร่หลาย 3 URLs ดังกล่าว

ทั้งนี้ นายพุทธิพงษ์ เปิดเผยด้วยว่า สำหรับคดีความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ได้ยื่นแจ้งความนายธนาธรต่อ บก.ปอท.ไว้นั้น ต้องติดตามความคืบหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท.และที่เกี่ยวข้อง ทราบว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบหลักฐานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ยืนยัน เจ้าหน้าที่รัฐต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่สามารถละเว้นได้

ต่อมาวานนี้ นายธนาธร เดินทางไปขึ้นศาลอาญาเพื่อร่วมการไต่สวนคำร้องคัดค้านของคณะก้าวหน้าที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลสั่งลบลิงก์ตามคำขอกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เผยแพร่ภาพ-คลิปเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์

นายธนาธร เปิดเผยว่า มาศาลเพื่อขอคัดค้านใบคำสั่งจากกระทรวงดิจิทัลฯ ที่ขอให้ปลดการไลฟ์เฟซบุ๊ก ทั้งในช่องทางเฟซบุ๊ก และยูทูบ ซึ่งเมื่อถามว่า การตั้งคำถามในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันฯ สามารถใช้หลักการวิจารณ์สุจริตได้หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองล้วนเป็นเรื่องของทุกคนในประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทย ดังนั้น การพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยสุจริต โดยไม่ว่าร้ายพยาบาท เพื่อหวังดีต่อสังคม ย่อมเป็นสิ่งที่พลเมืองพึงกระทำได้

และเมื่อถามว่าคิดว่าศาลจะใช้ดุลพินิจที่ครอบคลุมถึงหลักการข้างต้นด้วยหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า อันนี้ตนคงก้าวล่วงศาลไม่ได้ เพราะเห็นว่าสิ่งที่เราวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลให้คนไทยเป็นสิ่งที่พวกเราทำด้วยความประสงค์ดี ก็หวังว่าศาลคงจะเข้าใจ ตนคงไม่ไปก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาล

ขณะที่ผู้สื่อข่าวถามว่าจนถึงตอนนี้แล้วมองว่าขอบเขตความผิดมาตรา 112 ในประเทศไทย มีความต่างจากประเทศที่ปกครองด้วยราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง เรื่องนี้ทำให้ นายธนาธร ตอบว่า ในมาตรา 112 เป็นมาตราที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน เพราะสิทธิสิทธิมนุษยชนนั้นคือการมีเสรีภาพทางการแสดงออก และมาตรา 112 มีโทษที่สูงเกินไปด้วย จึงเห็นว่าควรมีการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด ทางด้าน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุว่า เห็นข่าวคุณธนาธรไปร้องศาลอาญาขอให้เพิกถอนคำสั่งการให้ปิดกั้นการเผยแพร่คลิปที่คุณธนาธร “ไลฟ์สด” ในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย” แล้วทำให้ต้องมาโพสต์เรื่องนี้อีกครั้ง เพราะไม่ว่าใครจะชี้แจงอย่างไร คุณธนาธรก็ไม่รับฟัง และยังคงใช้ข้อมูลชุดเดิม บิดเบือนแบบเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นเอง

คุณธนาธรยืนยันกับศาลว่า การตรวจสอบการบริหารจัดการเรื่องวัคซีนของรัฐบาล สามารถทำได้ จึงยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ดังนั้นการพูดถึงโดยสุจริตและหวังดีต่อสังคม ปราศจากความอาฆาตมาดร้าย เป็นสิ่งที่พลเมืองพึงกระทำ

ประเด็นเรื่องการใช้คำว่า “วัคซีนพระราชทาน” นั้น คุณธนาธรชี้แจงว่า ตัวเองเข้าใจว่าเป็นวัคซีนพระราชทานจริง ๆ เพราะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และหน่วยงานของรัฐเป็นคนใช้คำนี้ ตนไม่ได้เป็นผู้เริ่มใช้ ซึ่งตนเห็นว่า การที่หน่วยงานของรัฐนำคำนี้มาใช้จึงไม่เหมาะสม ไม่ควรทำ ถ้าเกิดความผิดพลาดใดมาเรื่องวัคซีน จะกระทบสถาบันได้

ในประเด็นข้างต้น ต้องยอมรับว่า ที่พลเอกประยุทธ์พูดนั้น ไม่ชัดเจนนัก โดยพูดว่า “ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์จำกัด”

ที่ชัดคือ พลเอกประยุทธ์ไม่เคยใช้คำว่า “วัคซีนพระราชทาน” ตรง ๆ เลยสักครั้ง คุณธนาธรไปตีความเอาเองแบบมีอคติ เสียมากกว่า ทั้ง ๆ ที่ตัวเองพูดเองว่า การใช้คำว่า วัคซีนพระราชทานเป็นการไม่เหมะสม ดังนั้นถ้าทำด้วยความหวังดีอย่างที่อ้าง คุณธนาธรก็ไม่ควรใช้คำนี้เสียเอง ไม่ว่าจะดูและฟังคลิปของคุณธนาธรกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถเข้าใจเป็นอื่นไปได้ นอกจากเข้าใจว่าสิ่งที่คุณธนาธรจะสื่อ หรือ “message” ที่ต้องการจะส่งไปถึงสาธารณะคือ

“รัฐบาลตัดสินใจ ที่จะซื้อวัคซีนจากบริษัทเดียวคือ Astra Zeneca และมอบให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้รับจ้างผลิตวัคซีนภายในประเทศ ทั้งยังให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์โดยไม่เปิดโอกาสให้มีบริษัทอื่น ๆ เข้าทำการแข่งขันแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นบริษัทที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นเจ้าของ เป็นบริษัทที่ตั้งมา 11 ปีแต่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จทางธุรกิจเลย ประสบการการทุนทุกปี การทำเช่นนี้เป็นการแทงม้าตัวเดียว เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์หรือไม่ และทำให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนช้า และในจำนวนที่น้อยเกินไป ทำให้ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ที่ควรจะได้หรือไม่”

ต้องขอบอกว่า ชอบแล้วที่จะให้หยุดการเผยแพร่คลิปเรื่อง “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย” นี้เสีย เพราะเป็นการตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมและไม่ใช่ข้อเท็จจริง หากเผยแพร่ต่อไป จะทำให้คนที่ไม่ชอบการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้อง เข้าใจผิด อันเป็นการเสื่อมเสียถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่ต้องสงสัย

การที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ. ในนามคณะก้าวหน้า ไม่ได้รับเลือกเลยแม้แต่คนเดียว และขณะคุณธนาธรไปข่วยหาเสียง ก็มีคนมาขับไล่ในหลายต่อหลายจังหวัด ยังไม่ทำให้คุณธนาธรตระหนักอีกหรือ

ล่าสุดที่คุณธนาธรโพสต์ประณามการรัฐประหารในพม่า ใน fan page ของคุณธนาธรใน fb ก็ถูกทัวร์ลงอย่างหนัก มีผู้ให้ความเห็นสนับสนุนเพียงประปราย และแทบไม่มีใครออกมาแก้ต่างให้เลยสักคน คุณธนาธรก็ยังไม่ตระหนักอีกว่า ประชาชนเริ่มเอือมระอาต่อการที่คุณธนาธรและพวก ยังดึงดันหาช่องที่จะโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ตลอดเวลา และเริ่มเสื่อมศรัทธาต่อคุณธนาธรมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

ตอนออกมาจากศาล คุณธนาธรยังตอบคำถามนักข่าวเกี่ยวกับมาตรา 112 อีกว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน คือ freedom of speech เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และยังมีโทษที่สูงเกินไป ฟังแล้ว เกิดความหงุดหงิดใจ จนจากที่ตอนแรกยังลังเลอยู่ ผมจึงตัดสินใจระบายความหงุดหงิดด้วยการรีบไปลงชื่อให้กับกลุ่ม ไทยภักดี ของคุณหมอ วรงค์ เดชกิจวิกรม เพื่อคัดค้านการยื่นขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เสียเลย และอาจจะมีคนอีกมากที่รู้สึกแบบนี้ และตัดสินใจทำแบบเดียวกันกับผมก็ได้นะครับ เราต้องคอยติดตามดูในวันที่ 8 ก.พ. นี้ว่า ศาลจะพิจารณาอย่างไร