สหรัฐแก้เศรษฐกิจเหลว?!? คนรวยยังรวยอยู่- คนจนตกงานไร้เงิน ไร้บ้าน รอเงินเยียวยา!!! ผวาปลายปีธุรกิจเจ๊งระนาว

2456

เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยหนักในประวัติศาสตร์  ตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นแค่มายา การแก้ปัญหาไม่เท่าเทียมและไม่ทั่วถึงจริงคนรวยคนจนลำบากไม่เท่ากัน ตลาดหุ้นยังเฟื่องฟู ขณะอเมริกันชนลำบากสาหัส คนจนตกงาน ไร้เงิน ไร้บ้าน ถ้าไม่มีงบฯเยียวยาฟื้นฟูรอบใหม่ จะวิกฤติหนักกว่าเดิม อีก 6 เดือนข้างหน้าธุรกิจอาจล้มละลายปิดเพิ่ม เศรษฐกิจมีสิทธิดิ่งเหวเป็นรูปตัว ‘K’ ภาครัฐ ผู้นำสองพรรคใหญ่ขับเคี่ยวชิงบัลลังก์อำนาจ ปล่อยประชาชนดิ้นรนกันไป

นิตยสาร Politico ได้เผยแพร่รายงานวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจสหรัฐปัจจุบัน เปรียบเทียบภาวะก่อนการระบาดไวรัสโควิด-19 กับช่วงต้นปีที่ผ่านมา และประเมินแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งบทบาทพรรคฝ่ายค้านเดโมแครตในสภาคองเกรสต่อเรื่องเศรษฐกิจ

เรื่องเล่าเศรษฐกิจถดถอยสองแบบ คนรวยคนจนลำบากไม่เท่ากัน

แนวโน้มที่จะกล่าวถึงความมั่งคั่งอย่างมากและช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันนี้ ช่องว่างนั้นห่างจากกันมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มสมาชิก G7 เสียอีก (กลุ่ม 7 ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิก 7 ประเทศคือ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐ โดยขนาดเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้นับเป็นกว่า 50% ของเศรษฐกิจโลก)

หนทางในการกอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐฯแหลมคมอย่างยิ่งในการแบ่งแยก ระหว่างมหาเศรษฐีและคนรวยซึ่งมีรายได้และเงินออมสูง กับรายงานระดับการดิ้นรนต่อสู้ของคนยากจน ผู้มีรายได้น้อยเพื่อจะได้มีเงินจ่ายค่าอาหารเพื่อแบ่งกันกินในครอบครัว 

การแบ่งกลุ่มให้เห็นภาพเศรษฐกิจระดับสูงของคนรวย มีกำลังซื้อ ดูที่ตลาดหลักทรัพย์ซึ่งพุ่งตลอดเวลา ในช่วงเวลาแห่งการถดถอย แต่อีกฝั่งต่างกันฟ้ากับเหวที่กลุ่มเศรษฐกิจต่ำ ก็ยิ่งต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คนอเมริกันกว่า 30 ล้านคนต้องรับเงินชดเชยการตกงาน และสถิติคนว่างงานมีถึง 8.4% ของประชากรกำลังงานในประเทศ ความแตกต่างอย่างสุดขั้วนี้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์๋ต่างวิตกกังวลว่า  เงินเยียวยาฟื้นฟูเท่าไหร่จึงจะพอเพียงกับปัญหาและความต้องการอย่างแท้จริงของคนอเมริกัน ไม่ใช่ความต้องการของนักการเมือง

เดโมแครต-รีพับลิกัน สู้กันไม่เลิก ปชช.ดิ้นรนกันไป

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงทางการเมือง  จากปัญหาความไม่เท่าเทียมและทั่วถึงในการกอบกู้เศรษฐกิจแก่คนอเมริกัน เพราะคะแนนนิยมพื้นฐานของเขาอยู่ที่คนใช้แรงงาน, คนทำงานชั้นกลางในเมืองในพื้นที่มิดเวสต์ ซึ่งจากสถิติแล้วได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างเลวร้ายกว่าย่านอื่นๆ ทางไวท์เฮ้าส์พยายามมุ่งมั่นในการแก้ไขและฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระดับมหภาค และระดับท้องถิ่น ซึ่งแน่นอนจะช่วยหนุนการได้รับเลือกตั้งอีกครั้งของปธน.ทรัมป์ แต่การสนับสนุนของเขาถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดเพราะข้อขัดแย้งเรื่องจะให้จำนวนเท่าไหร่ อย่างไร์? ในสภาคองเกรส ระหว่างทรัมป์และพรรคเดโมแครต และจากโพลสำรวจวิจารณ์ว่า แก้ปัญหาไม่ถูกจุดและล่าช้า (Ipsos Poll)

พรรคเดโมแครตได้ทีขย่มสถานะการเป็นผู้นำของทรัมป์ โดยโจ ไบเดนคู่แข่งชิงตำแหน่งตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครตตอกย้ำว่า “ไม่มีใครคาดคิดว่าตนเองจะต้องตกงาน หรือจะได้เห็นบริษัทเอสเอ็มอีต้องปิดกิจการ แต่การฟื้นฟูแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต้องการผู้นำ แต่เราไม่มีและยังคงไม่มีผู้นำดังว่า”

ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดเปิดเผยว่า คนอเมริกันออมเงิน 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เดือนกรกฏาคม ในเดือนเดียวกันมีมูลค่าเท่ากับ 1/7 ครัวเรือนสหรัฐซึ่ง U.S. Census Bureau ทำการสำรวจเด็กอเมริกันพบว่าบางวันกินข้าวไม่อิ่ม และจำนวนมากกว่า ¼  ของเยาวชนจ่ายดอกเบี้ยค้างจ่ายช้ากว่าที่เคย ขณะเดียวกันก็พบว่าพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าเช่าบ้าน หรือชำระใบเสร็จประจำเดือนต่างๆได้(AP-NORC Poll)

ขณะเดียวกันตัวเลขการจ้างงานฟื้นตัวขึ้นใน ผุ้ทำงานกลุ่มค่าจ้างสูง และการจ้างงานตกลงแค่ 1% ในกลางเดือนมิถุนายนจากเดือนมกราคมของปีนี้ แต่มันหมายถึงการจ้างงานแรงงานรายได้ต่ำ ตกลงถึง 15.4% ตามรายงานของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ด้านการมีโอกาสทำงานในสภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว เรื่องนี้ นายเบธ เอเคอร์ นักเศรษฐศาสตร์แรงงานจากสถาบันแมนฮัทตัน ซึ่งทำงานเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจภายใต้การสนับสนุนของอดีตประธานาธิบดีจอร์ช ดับเบิลยู บุช กล่าวว่า “มีข้อมูลบ่งชัดว่าคนบางกลุ่มฟื้นตัวได้หลังจากที่เซเพราะการระบาดโควิด-19 แต่บางกลุ่มยังลำบากยากฟื้น”

สหรัฐ-เศรษฐกิจฟื้นรูปตัว ‘K’ คนจนลำบากสาหัส

ปธน.ทรัมป์และทีมงานมองเส้นทางกานฟื้นตัวของ ตลาดหลักทรัพย์(ซึ่งไม่เคยตกต่ำ) และแนวโน้มบวกของการฟื้นตัวเช่นธุรกิจอุตสาหกรรม และค้าปลีกและเรียกสภาพเศรษฐกิจว่าจะฟื้นฟูเป็นรูปตัว V นั่นคือมองว่ามีแนวโน้มเงยหัวขึ้นเมื่อถึงจุดต่ำสุด แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างเห็นตรงข้ามว่า เป็นการมองข้ามภาพใหญ่ที่แท้จริงของปัญหา ประการแรก ผู้ใช้แรงงานรอเงินชดเชยการวางงานมาหลายสัปดาห์(เงินชดเชยก้อนแรกหมดกำหนด 31 กรกฏาคม และยังไม่มีก้อนใหม่) เงินใช้จ่ายหมดไปเรื่อยๆ ขณะจำนวนคนตกงานเพิ่มขี้นไม่หยุด  รายงานเศรษฐกิจแสดงตัวเลขกาจ้างงาน 1.4 ล้านตำแหน่งในเดือนสิงหาคม รายงานจากกรมแรนงงานของสหรัฐฯเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (4 ก.ย.2563) แต่การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานช้ากว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนในช่วงเวลาเดียวกัน และถ้าหักส่วนที่ปิดกิจการและจำนวนคนตกงานตั้งแต่มีการระบาดจะยิ่งเห็นว่า ไม่มากอย่างที่คิด

นักเศรษฐศาสตร์บางคนประเมินว่า เศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้เป็นลักษณะตัว ‘K’ มากกว่าเพราะ แนวโน้มกลุ่มเศรษฐกิจระดับบน คือคนมีฐานะ มีเงินออก ค่าจ้างสูง อาจฟื้นตัวลักษณะ ‘V’ แต่กลุ่มเศรษฐกิจระดับล่าง ผู้ใช้แรงงานทั้งในชนบท และในเมือง กลุ่มคนทำงานรายได้ปานกลางในเมืองเหล่านี้ อาจฟื้นได้ในลักษณะตัว ‘V’ หัวคว่ำ

นางคลอเดีย แซม, ผู้อำนวยการ ศูนย์นโยบายเศรษฐกิจมหภาควอชิงตันเพื่อความเท่าเทียมในการพัฒนากล่าวว่า “ถ้าคุณมองชั้นบนของตัว K มันเป็นตัว V แต่นั้นคือยอดภูเขาเหนือน้ำ เพราะมีภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำขนาดใหญ่ซึงคุณลืมมองมันไป”

ผู้มีรายได้ต่ำจะได้รับผลกระทบหนักหนาสาหัสกว่าใคร การใช้จ่ายที่สะท้อนกำลังซื้อมีแต่ลดลงในเดือนสิงหาคมต่ำกว่าเดือนมกราคมที่ผ่านมา และกำลังซื้อในกลุ่มรายได้สูงและรายได้ปานกลางก็ลดลงด้วย  ที่สำคัญคนยากจนคนตกงานต่างรอเงินเยียวยาของรัฐบาลงวดใหม่  เงิน 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ในช่วงแรกแค่พอประคับประคองตัว บัดนี้งวดที่สองไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ เพราะผู้นำรัฐบาลและสภายังถกเถียงกันยังไม่หมดสิ้น แม้ปธน.ทรัมป์จะออกคำสั่งพิเศษให้ แต่ละรัฐจัดสรรงบพิเศษ 300 ดอลลาร์สหรัฐบรรเทาปัญหาไปก่อน ปรากฎว่ามีแต่รัฐที่ผู้ว่าการรัฐเป็นรีพับลิกันเท่านั้นที่จัดงบกลางของท้องถิ่นไปบรรเทาซึ่งต้องรองบฯจากส่วนกลางอีก

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนวิเคราะห์ว่า ปัญหาใหญ่ต่อมาคือ กระแสล้มละลายและธุรกิจปิดกิจการจะเกิดขึ้นช่วงฤดูหนาวที่จะถึง เพราะแนวโน้มโควิดระลาดหนักยังไม่คลาย วัคซีนก็ดูท่าว่าจะยังไม่มี  การสำรวจของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจอิสระแห่งชาติเปิดเผยว่า บริษัทเอสเอมอีจำนวน ⅕ ยอมรับว่ายอดขายปัจจุบันคิดเป็น 50% ของรายได้ก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 หลายส่วนประกาศจะปิดกิจการในอีก 6 เดือนข้างหน้าถ้าเศรษฐกิจและโควิดยังเป็นเช่นนี้ต่อไป