ราชาแห่งดิจิทัล ซีอีโอของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา อเมซอน, แอปเปิล, เฟซบุ๊ก และกูเกิ้ล ถูกตั้งคำถามจากสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เรื่องการละเมิดข้อห้ามการผูกขาดตลาด ทั้งสี่เข้าชี้แจงตอบคำถามปฏิเสธมิได้ละเมิดข้อห้ามการผูกขาด ธุรกิจเป็นไปอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้
เจฟฟ์ เบซอส ผู้บริหารของอเมซอน, ทิม คุก ผู้บริหารของแอปเปิ้ล, มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้บริหารเฟ๊ซบุ๊ก และ ซันดาร์ พิชัย ผู้บริหารกูเกิล ได้เข้าให้การต่อสภาคองเกรสวันที่ 29 ก.ค. 2020 เพื่อชี้แจงและตอบข้อซักถามของสมาชิกสภาคองเกรสเกี่ยวกับกรณีการละเมิดข้อห้ามการผูกขาดตลาด
ด้วยมูลค่าของบริษัทจำนวนมหาศาล และการครอบครองส่วนแบ่งตลาดแทบทั้งหมด จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าบริษัทเหล่านี้ ได้ใช้อิทธิพลทางธุรกิจของตนในการกำจัดและปิดกั้นการเกิดใหม่คู่แข่งรายอื่น ๆ เช่น กูเกิลตกเป็นประเด็นเรื่องการครองตลาดโฆษณา ส่วนเฟซบุ๊กเป็นเรื่องของการซื้อกิจการ
สำหรับ อเมซอน ควบคุมตลาดอีคอมเมิร์ซแทบทั้งหมด อีกทั้งถูกวิจารณ์ว่าโปรโมตสินค้าแบรนด์ของตนที่ซื้อขายบนแพลตฟอร์มมากกว่าสินค้าจากแบรนด์อื่น ๆ และแอปเปิ้ล ผูกขาดตลาดการบริการแอพลิเคชั่นถูกกล่าวหาว่าได้เรียกเก็บเงินรายได้ 30 % จากแอพลิเคชั่นบน “เอพสโตร์”
โดยสมาชิกคณะอนุกรรมาธิการต่อต้านการผูกขาดของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะทำการซักถามซีอีโอของยักษ์ใหญ่ทั้ง 4 แห่งอย่างหนักในข้อกล่าวหาที่ว่าบริษัทได้ใช้อำนาจการครอบงำในการกำจัดคู่แข่งรายอื่น ๆ
ส่วนหนึ่งของคำถามที่น่าสนใจที่สภาถามซีอีโอทั้งสี่ “ท่านคิดว่าประเทศจีนขโมยข้อมูลจากบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐหรือไม่?”
-แอปเปิ้ล/ทิม คุ๊ก ตอบว่า “ผมไม่ทราบถึงกรณีเฉพาะที่เราถูกขโมยจากรัฐบาล… ผมพูดได้เพียงข้อมูลความรู้เบื้องต้นเท่านั้น”
-กูเกิ้ล/ซันดาร์ พิชัย ตอบว่า “ผมไม่มีความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับการขโมยข้อมูลจากกูเกิ้ลในกรณีนี้
-เฟซบุ๊ก/มาร์ค ซัคเคอร์เบอร์ก ตอบว่า “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ที่มีรายงานว่ารัฐบาลจีนขโมยเทคโนโลยีจากบริษัทอเมริกัน”
-อเมซอน/เจฟ เบซอส ตอบว่า “ผมได้เห็น ได้ยินรายงานหลายชิ้นที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น และไม่เคยเห็นด้วยตนเอง แต่ผมมีรายงานเรื่องนี้เยอะมาก”
นอกจากนี้ได้มีการเปิดเผยคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของนายเบซอสและนายซัคเคอร์เบิร์ก ที่จะใช้ให้การต่อฝ่ายสอบสวนของสภาคองเกรสออกมา
นายเบซอสระบุว่า แอมะซอนมีส่วนแบ่งในตลาดค้าปลีกเพียงเล็กน้อย และเผชิญการแข่งขันกับผู้ค้าปลีกรายใหญ่อย่างวอลมาร์ท ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแอมะซอนถึงสองเท่า และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็กระตุ้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแอมะซอน นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ผู้ค้ารายย่อยสามารถประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มของแอมะซอนได้อย่างไร
ทางด้านนายซัคเคอร์เบิร์กระบุว่า เฟซบุ๊กนั้นประสบความสำเร็จด้วยการเริ่มต้นจากศูนย์ และมอบผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้มองว่ามีค่า -ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กต้องเผชิญการแข่งขันจากคู่แข่งมากมายที่ขายโฆษณาและเชื่อมต่อผู้คนเหมือนกับเฟซบุ๊ก ทั้งในประเทศและทั่วโลก ส่วนการเข้าซื้อกิจการของเฟซบุ๊กช่วยให้บริษัทอย่าง WhatsApp และอินสตาแกรม เติบโตขึ้น
นอกจากนี้ นายซัคเคอร์เบิร์กยังเตือนด้วยว่า เฟซบุ๊กต้องเผชิญการแข่งขันจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากจีน ที่สร้างแพลตฟอร์มของตนเองและกำลังส่งออกไปยังประเทศอื่น พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีกฎหมายเพิ่มเติมในด้านเนื้อหาอันตรายบนโซเชียลมีเดีย และความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่เฟซบุ๊กถูกโจมตีมาหลายครั้ง
การเข้าชี้แจงสภาคองเกรสของ บริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาล เข้ามาแทรกแซง ควบคุม การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนซึ่งมีอิทธิพลต่อขีวิตของผู้บริโภคทั่วโลก ที่สำคัญ ขณะที่รัฐบาลโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน
สร้างความตึงเครียดทางการค้าการลงทุนระดับโลก คณะบริหารของปธน.ทรัมป์มีท่าทีตำหนิ การไม่ปฏิเสธการดำเนินธุรกิจและหรือ การร่วมทุนธุรกิจกับจีนของกลุ่มบริษัทยักษ์เทคโนโลยีเหล่านี้ เหตุการณ์ครั้งนี้จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจาก “วาระทางการเมือง”
ที่มา : https://www.wsj.com/livecoverage/https-www-wsj-com-livecoverage-tech-ceos-hearing-2020