ไบเดนปรี๊ดสลบ!!ปูตินลงนามกม.ยกเว้นVATทองคำ ชวนคนตุนทองเทดอลลาร์ สวนUSแบนทองรัสเซียเตรียมยึด

1734

นับตั้งแต่การเริ่มต้นปฏิบัติการทางทหารพิเศษของรัสเซียในยูเครนเพื่อปกป้องดอนบาสจากการรุกรานของเคียฟ สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกได้เพิ่มการคว่ำบาตรต่อมอสโกอย่างต่อเนื่องเพื่อทำลายเศรษฐกิจของรัสเซีย ล่าสุดปธน.โจไบเดนประกาศคว่ำบาตรทองคำรัสเซีย หลังขับออกจากระบบการเงิน SWIFT ของโลกตะวันตก แต่รัสเซียตอบโต้กลับอย่างสมน้ำสมเนื้อโดยตัดขาดจากดอลลาร์อย่างไม่เหลือเยื่อใย โดยประกาศยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มทองคำ และชวนประชาชนรัสเซียให้ถือทองคำแล้วทิ้งดอลลาร์ รวมทั้งออมเงินสกุลรูเบิลไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง เท่ากับว่าเวลานี้ปูตินประกาศสงครามเบ็ดเสร็จกับเปโตรดอลลาร์อย่างเป็นทางการโดยทุบดอลลารแล้วถือทองคำแทน นั่นเอง

วันที่ 10 มี.ค.สำนักข่าวบิสซิเนสสแตนดาร์ดและรัสเซียทูเดย์ รายงานว่า อเล็กซานเดอร์ ปังกินรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ(Alexander Pankin,Deputy Minister of Foreign Affairs)กล่าวถึงการคว่ำบาตรจากสหรัฐและตะวันตกว่า “ชัดเจนว่าเราจะเผชิญกับความยากลำบาก แต่เราพร้อมที่จะต้านทาน ด้านหนึ่งไม่มีความตื่นตระหนก อีกด้านหนึ่งก็พร้อมจะตอบโต้”  

ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ได้ลงนามกฎหมายยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อทองคำเมื่อวันที่ 9 มี.ค.2565

มาตรการนี้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนพลเมืองรัสเซีย ให้มีการลงทุนรูเบิลซึ่งมีมูลค่าลดลงท่ามกลางการคว่ำบาตรจากตะวันตก โดยทางการได้กำหนดข้อจำกัดในการซื้อสกุลเงินต่างประเทศบางสกุลเงิน รวมทั้งดอลลาร์สหรัฐและยูโร ซึ่งเป็นวิธีทั่วไปสำหรับการปกป้องเงินออมของพวกเขาในอดีต เป็นบทเรียนจากการถูกสหรัฐคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียนับร้อยครั้งในรอบ 30 ปี เอกสารประกาศได้เผยแพร่บนพอร์ทัลทางกฎหมายของรัฐบาล โดยแจ้งว่ามีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อซื้อทองคำจริง คนรัสเซียต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 20 เปอร์เซ็นต์สำหรับการขายโลหะหรือสินแร่มีค่าอื่นคืนให้ธนาคาร จะไม่คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ธนาคารกลางของรัสเซียประกาศจะกลับมาซื้อทองคำในตลาดภายในประเทศอีกครั้งจากหยุดไปสองปี หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลและธนาคารรายใหญ่หลายแห่งของประเทศถูกคว่ำบาตร มากกว่าครึ่งหนึ่งของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของรัสเซีย มีมูลค่าประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์ที่ถือครองในต่างประเทศถูกแช่แข็ง สิ่งนี้จำกัดความสามารถของธนาคารกลางในการสนับสนุนเงินรูเบิล ทำให้ค่าเงินร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ในทางกลับกัน รัสเซียยังคงถือครองทองคำส่วนใหญ่ทั้งหมดไว้ในประเทศ

การตอบโต้ครั้งล่าสุดของรัสเซียสะท้อนว่า รัสเซียไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอย่างที่สหรัฐและตะวันตกต้องการ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสหรัฐและยุโรปจากการคว่ำบาตรต่อต้านรัสเซียบ้าง เรามาทบทวนกัน

รัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศกล่าวว่า “ยุโรปจะเผชิญกับผลที่ตามมาของการคว่ำบาตรต่อต้านรัสเซียอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง คุณได้เห็นคลื่นผลกระทบเหล่านี้แล้ว ที่เกิดกับยุโรปตะวันตกไม่ใช่เพราะเราใช้พลังงานเป็นอาวุธ เราปฏิบัติตามพันธกรณีตามข้อตกลงมาโดยตลาด สหรัฐและตะวันตกต่างหากเป็นผู้ฉีกข้อตกลงเพียงฝ่ายเดียว” 

ภาวะเศรษฐกิจถดถอย คือผลกระทบที่สหรัฐและตะวันตกกำลังเผชิญ เพราะตัดขาดสัมพันธ์กับรัสเซีย กลับทำร้ายธุรกิจในสหรัฐและยุโรปเอง

รัสเซียมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในยุโรปทั้งด้านการค้าการลงทุน และทางการเงิน เมื่อสหรัฐกดปุ่มสงครามเศรษฐกิจก็จะส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย แต่การสูญเสียตลาดรัสเซียซึ่งมีประชากรมากกว่า 144 ล้านคน กลับกลายเป็นผลพวงมหาศาลต่อธุรกิจในยุโรป

 ในช่วงปี 2564 ปริมาณการค้าระหว่างรัสเซียและประเทศในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 42.7% ต่อปีเป็นมากกว่า 24,700 ล้านยูโร รัสเซียเป็นพันธมิตรรายใหญ่อันดับห้าสำหรับการส่งออกสินค้าของสหภาพยุโรปคิดเป็น 4.1 % และคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับสามสำหรับการนำเข้าสินค้าของสหภาพยุโรปคิดเป็น 7.5 % สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรอย่างรุนแรงหลายรอบต่อมอสโกแล้ว โดยมุ่งเป้าไปที่ภาคการธนาคารและอุตสาหกรรมของประเทศ แช่แข็งทุนสำรองต่างประเทศ และก่อให้เกิดการอพยพของธุรกิจต่างชาติจำนวนมากออกจากประเทศ แต่คนที่ได้รับความทุกข์ทรมานมากที่สุดไม่ได้มีแต่รัสเซียเท่านั้น

นักวิเคราะห์กล่าวว่าประเทศและธุรกิจต่างๆ ในยุโรปจะต้องแบกรับราคาของการคว่ำบาตร  เมื่อรัสเซียปรับทิศทางตัวเองไปยังประเทศที่เป็นมิตรเช่นจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง จะกลายเป็นว่ายุโรปเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบมากที่สุด” 

ทำเนียบขาวกล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่าการค้าระหว่างจีนกับรัสเซียไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบของการคว่ำบาตรของสหรัฐฯและยุโรปต่อมอสโก แต่ตามข้อเท็จจริงคือ การค้าระหว่างสองประเทศเฟื่องฟูมากแม้จะมีเหตุการณ์ในยูเครน จากข้อมูลของศุลกากรจีนที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มี.ค.2565 มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นเกือบ 39% ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเกิน 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  มอสโกว์และปักกิ่งตั้งเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจทวิภาคีเป็น 2 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2567

ไม่ต้องพูดถึงราคาก๊าซ-น้ำมัน และสินค้าอุปโภคบริโภคที่พุ่งกระฉูดทั้งในสหรัฐและยุโรป ส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งปรี๊ด ยังคุมไม่ได้ นี่เป็นสถานการณ์สาหัสที่ประชาชนอเมริกันและคนยุโรปกำลังเผชิญอย่างปิดบังไม่มิด!!