จากที่ เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้เดินทางมาศาลเพื่อนัดสืบพยานโจทก์ในคดีข้อหาความผิดหมิ่นสถาบันฯโดยบอกว่า นัดพิจารณาคดีประวัติศาสตร์ ในฐานะจำเลย ต้องขึ้นศาล เพื่อสืบพยานโจทก์ในคดีข้อหาความผิดตาม มาตรา 112
ทั้งนี้มีเนื้อหาบางส่วนที่เฟซบุ๊ก เพนกวิน โพสต์ไว้ว่า คดีนี้ผมถูกฟ้องกล่าวหาเกี่ยวกับการปราศรัยว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเดินทางไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมัน และมีการใช้พระราชอำนาจบางอย่างอยู่ที่ประเทศเยอรมัน อัยการฟ้องว่า ผมพูดเท็จเป็นความผิดมาตรา 112 ผมไม่ทราบว่าผมพูดเท็จตรงไหน และเป็นความผิดตามมาตรา 112 อย่างไร
พยานโจทก์ในคดีนี้มีหลายคนทั้งอานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ , ไชยยันต์ ไชยพร , เจษฎ์ โทณะวณิก ผมยืนยันขอต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ในฐานะจำเลยผมได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกตารางการเดินทางเข้าออกประเทศไทยและประเทศเยอรมันของในหลวงรัชกาลที่ 10 เพื่อนำมาต่อสู้คดีในศาลว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นความผิด แต่ยังไม่แน่ใจว่าศาลจะออกหมายเรียกให้หรือไม่
และผมจะนำเอกสารของ ส.ส.พรรคกรีน เยอรมัน ที่ได้ตั้งกระทู้ถามในสภาของเยอรมันเกี่ยวกับสถานะของในหลวงรัชกาลที่ 10 เกี่ยวกับการใช้พระราชอำนาจทางการเมืองโดยตรงจากประเทศเยอรมนี เพื่อเป็นหลักฐานต่อสู้คดีด้วย และผมก็ได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกเอกสารที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เข้ามาในคดีด้วย
ล่าสุดวันนี้ 28 มกราคม 2565 เฟซบุ๊ก เพนกวิน – พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak ได้โพสต์ข้อความถึงความคืบหน้าในคดีดังกล่าว โดยระบุคล้ายเป็นคำพูดของเพนกวินว่า
“สวัสดีครับพี่น้องราษฎร วันนี้ผมถูกเบิกตัวจากเรือนจำมาที่ศาลอาญารัชดา เพื่อฟังการสืบพยานโจทก์คดีการชุมนุมของกลุ่มม็อบเฟสเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ในคดีนี้ผมถูกฟ้องว่าทำผิดมาตรา 112 เพราะปราศรัยเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในหลายประเด็น เช่น
กรณีการเสด็จไปประทับที่ประเทศเยอรมันและการใช้พระราชอำนาจนอกราชอาณาจักร ซึ่งทางอัยการกล่าวหาว่าเป็นการบิดเบือน ดูหมิ่น และจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมและทีมทนายจึงเตรียมการเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมปราศรัยเป็นความจริง และได้ยื่นเรื่องให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตารางการเดินทางเข้าออกประเทศไทยและประเทศเยอรมันของในหลวงรัชกาลที่ 10 และข้อมูลที่ ส.ส.พรรคกรีนของเยอรมันได้เคยอภิปรายในสภาของเยอรมันว่าด้วยการใช้พระราชอำนาจนอกประเทศ
น่าผิดหวังมากที่ศาลซึ่งควรเป็นที่สถิตของความยุติธรรมและความจริงกลับไม่ยอมออกหมายเรียกพยานหลักฐานเหล่านี้ให้ โดยให้เหตุผลว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับคดีความ” ทั้งที่ผมถูกกล่าวหาว่าบิดเบือน ดูหมิ่น จาบจ้วง แต่ผมยืนยันว่าผมพูดความจริงเพื่อประโยชน์ของประชาชน แล้วการหาหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องที่ผมถูกกล่าวหาจะไม่เกี่ยวกับคดีความได้อย่างไร
ตลอดการดำเนินคดีนี้ ผมเหมือนถูกมัดมือชกตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นการคุมขังไว้ก่อนโดยยังไม่มีความผิด การไม่มีโอกาสได้ปรึกษาทนายและหาข้อมูลมาสู้คดี ทั้งยังไม่ได้รับการอำนวยความยุติธรรมจากศาลอีก ก็เหมือนถูกตัดสินให้ผิดตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องพิสูจน์อะไร
กระบวนการแบบนี้อาจเรียกว่ากระบวนการยุติธรรมได้ไม่เต็มปาก แต่เราก็ยังจำต้องสู้เพื่อเอาความจริงออกมาเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้ว่าการไปอยู่ที่เยอรมันและการใช้อำนาจนอกราชอาณาจักรนั้นจริงหรือไม่ หวังว่าศาลจะเปลี่ยนใจมาร่วมหาความจริงไปกับเราด้วยการนำออกหมายเรียกพยานให้ แต่ถ้าศาลยังยืนยันไม่ยอมออกหมายเรียกก็อาจต้องขอแรงคนที่อยู่ข้างนอกช่วยกันรวบรวมหลักฐานมาให้ผมได้พิสูจน์ความจริงในคดีนี้ต่อไป”