ทำได้จริง!?รัฐฯเดินหน้าแก้หนี้ราชการ ยึดโมเดลสน.ตำรวจแห่งชาติใช้สหกรณ์สางหนี้แล้วกว่า 4 พันล้านบ.

1275

ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนเป็นมรดกกรรมของประเทศที่ ยังไม่ได้มีการทุ่มเทแก้ไขอย่างจริงจังมาตลอด แต่รัฐบาลชุดนี้ปักหมุดเอาจริงที่จะคลี่คลายให้ได้มากที่สุด โดยแบ่งการจัดการตามกลุ่มเป้าหมายลักษณะอาชีพ  ซึ่งนอกจากประชาชนทั่วไปจะแบกภาระหนี้สินมากแล้ว ข้าราชการก็เป็นกลุ่มอาชีพหนึ่งที่มีความทุกข์และเผชิญความยากลำบากในการชดใช้หนี้ ท่ามกลางการระบาดใหญ่ไวรัสโควิดล่าสุด โฆษกรัฐบาลเปิดเผยว่านายกฯติดตามการแก้หนี้ข้าราชการอย่างต่อเนื่อง และชี้แนะให้หน่วยงานต่างๆถอดโมเดลการปรับโครงสร้างหนี้ตำรวจ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้กลไกสหกรณ์ของหน่วยงานในสังกัด สามารถแก้ปัญหาหนี้ตำรวจได้แล้วกว่า 4 พันล้านบาท

วันที่ 14 ม.ค.2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้ข้าราชการตำรวจและครู ตามข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้  สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รายงาน สถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับข้าราชการตำรวจ 

จากข้อมูล ณ 15 พฤศจิกายน 2564 มีกำลังพลทั้งสิ้น 205,448 ราย พบว่ามีหนี้สินจำนวน 164,291 คน คิดเป็น 80 % ของกำลังพลทั้งหมด รวมจำนวนเงินหนี้ทั้งสิ้นกว่า 322,032 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สหกรณ จำนวน  231,435,677,495 บาท หนี้สถาบันการเงินจำนวน 90,596,998,734 บาท  ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินโครงการแก้หนี้สินข้าราชการตำรวจเป็นระยะ ๆ รวมมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว 7,333 ราย สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ จำนวน 2,778 ราย เป็นเงินจำนวน 4,041,750,256 บาท ขณะนี้ยังคงค้างอย่ในโครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 4,555 ราย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังพูดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ตำตรวจว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้กลไกของสหกรณ์มาดำเนินการ โดยจัดตั้งสหกรณ์ต้นแบบที่สมัครใจและมีศักยภาพ เป็นสหกรณ์นำร่องและให้สหกรณ์อื่น ๆ ดำเนินการตามแนวทางของสหกรณ์ต้นแบบคู่ขนานกันไป ทั้งนี้ มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ประกอบด้วย 

(1) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับผู้กู้เงินจากสหกรณ์ เพื่อให้มีภาระจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง ทำให้ค่างวดที่จ่ายแต่ละเดือนแบ่งไปตัดลดเงินต้นได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ให้รักษาสภาพคล่องทางการเงินของสหกรณ์ ด้วยการปรับลดต้นทุนผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภทให้ไม่เกิน 3% และการขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินหรือสหกรณ์อื่นที่ไปกู้มา ซึ่งได้รับความร่วมมือกับธนาคารออมสินในการกำหนดแนวทางการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สหกรณ์และการเสริมสภาพคล่องทางการเงินของสหกรณ์ 

(2) จัดสรรผลกำไรสุทธิเป็นเงินเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้กู้ให้มากที่สุด เพื่อให้เงินได้เพื่อนำมาจ่ายหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยได้เพิ่มขึ้น  ด้วยการลดค่าใช้จ่ายเงินปันผล งบบริหารจัดการ ค่าตอบแทนกรรมการ และสวัสดิการที่ไม่จำเป็นลง 

(3) นำหุ้นบางส่วนมาชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องลาออกจากการเป็นสมาชิก 

(4) รวมหนี้จากสถาบันการเงินอื่นไว้ที่สหกรณ์โดยกำหนดสมาชิกให้รักษาวินัยทางการเงินของสมาชิก และการไม่ปล่อยหนี้เพิ่มให้กับสมาชิกของสถาบันการเงินอื่น 

(5) ปรับโครงสร้างหนี้ให้กับสมาชิกที่เตรียมจะเกษียณอายุราชการ 

(6) ปรับลดค่าส่งหุ้นรายเดือน เพื่อให้สมาชิกได้มีเงินเดือนเหลือใช้ในการดำรงชีพ 

(7) สมาชิกที่เงินเดือนเหลือน้อยกว่าร้อยละ 30 ต้อองอยู่ในการปรับโครงสร้างหนี้ 

(8) นำผลประโยชน์ที่จะได้ในอนาคต เช่น บำเหน็จดำรงชีพ บำเหน็จตก ทอด หรือเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีมายุบยอดหนี้ให้ลดลง เพื่อให้สมาชิกมีเงินเดือนเหลือใช้ในการดำรงชีพ ด้วย 

นายธนกรกล่าวย้ำว่า “ที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรีเห็นใจข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อย ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะเศรษฐกิจและสังคม จึงอยากสนับสนุนให้ข้าราชการทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะความฉลาดทางการเงิน หรือ Financial literacy เพื่อให้มีความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง ทั้งบริหารเงิน การวางแผนการใช้จ่าย รวมทั้งแผนการออม ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรียังขอให้หน่วยราชการที่มีหนี้ข้าราชการสะสมจำนวนมาก ไม่ว่าครูหรือตำรวจ เร่งหาโมเดลแก้หนี้ ที่เหมาะสมทั้งไทยและต่างประเทศ ให้ถอดแบบความสำเร็จมาใช้เพื่อเร่งเดินหน้าตามเป้าหมายปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน 2565 ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม”