เทหมดหน้าตัก!!ปูติน-สี จิ้นผิงประกาศทิ้งดอลลาร์ใช้หยวน-รูเบิลค้าขาย ตอบโต้สหรัฐคว่ำบาตรเศรษฐกิจ

1483

การเจรจาเสมือนจริงของผู้นำรัสเซียและจีนล่าสุดในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เพิ่มความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นของทั้งสองประเทศ ในหลากหลายมิติท่ามกลางการคุกคามอย่างหนักจากสหรัฐและพันธมิตรตะวันตก ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจที่สุดคือ การประกาศเลิกใช้ดอลลาร์สหรัฐในการทำธุรกรรมระหว่างกัน ตอบโต้การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐกระทำต่อจีนและรัสเซีย

วันที่ 17 ธ.ค.2564 ในการพูดคุยทางวีดิโอลิงก์ของสองผํู้นำเมื่อวันพุธที่ผ่านมาสำนักข่าวทาซซ์ ของทางการรัสเซียเปิดเผยว่า ปูตินเรียกสี จิ้นผิงว่า “เพื่อนรัก”ของเขา และกล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศนั้น “อยู่ในระดับสูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน” 

ขณะที่สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่า สีเรียกพูตินว่า “เพื่อนเก่า” และกล่าวขอบคุณปูตินสำหรับการเป็นหุ้นส่วนของรัสเซีย ที่ยืนหยัดเคียงข้างกันเมื่อเผชิญกับแรงกดดันจากตะวันตก และกล่าวว่า ขณะนี้กองกำลังนานาชาติบางกลุ่มกำลังแทรกแซงกิจการภายในของจีนและรัสเซีย เหยียบย่ำกฎหมายระหว่างประเทศ และบรรทัดฐานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งเป็นที่การยอมรับกัน โดยใช้ข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ดังนั้น จีนและรัสเซียจึงควรเพิ่มความพยายามร่วมกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในการพูดคุยครั้งนี้รัสเซียและจีนตกลงจะพัฒนาโครงสร้างทางการเงินที่ใช้ร่วมกัน เพื่อให้พวกเขาสามารถกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในแบบที่ต่างประเทศจะไม่สามารถมีอิทธิพลก้าวล่วงได้ 

ปธน.วลาดิมีร์ ปูตินรัสเซีย และปธน.สี จิ้นผิง แห่งจีน ยืนยันข้อตกลงให้ใช้สกุลเงินประจำชาติในการชำระหนี้ร่วมกัน จัดทำแพลตฟอร์มการชำระเงินสนับสนุนธุรกรรมระหว่างประเทศและขยายความร่วมมือเพื่อให้นักลงทุนชาวรัสเซียและจีนสามารถเข้าถึงตลาดหุ้นได้ทั่วโลกอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน

ยูริ อูชาคอฟ (Yuri Ushakov) ที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศของปูติน กล่าวว่า”รัสเซียให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับความจำเป็นในการกระชับความร่วมมือ ในการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินอิสระ เพื่อให้บริการการค้าระหว่างรัสเซียและจีน ซึ่งเราหมายถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่สามารถได้รับอิทธิพลจากประเทศที่สามได้”

รัสเซียและจีนจับมือกันที่จะเลิกใช้ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินหลักของการค้าระหว่างประเทศ และจะใช้สกุลเงินของตนเองหนุนปริมาณการค้าระหว่างมอสโก-ปักกิ่งแทน คือการปลดแอกจากระบบควบคุมการเงินโลกของสหรัฐและตะวันตกอย่างสิ้นเชิง

ปรากฎการณ์ครั้งนี้ยืนยันคำกล่าวเตือนของปูตินเมื่อต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ในงานประชุมนักการทูตในรัสเซียว่า  สหรัฐฯได้ด้อยค่าเงินดอลลาร์ของตน ด้วยการใช้มาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจลงโทษประเทศที่ไม่โปรดปรานอยู่เรื่อยๆ  เป็นการผลักให้ประเทศอื่นๆเปลี่ยนไปใช้เงินสกุลท้องถิ่นแทนมากขึ้นและมากขึ้น ยิ่งเร่งให้ค่าเงินดอลลาร์ตกต่ำลงเร็วขึ้นไปอีก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วิกตอเรีย นูแลนด์ ผู้ช่วยรมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ขู่รัสเซียว่า ทำเนียบขาว พร้อมด้วยชาติต่างๆในยุโรปตะวันตก กำลังพิจารณาที่จะคว่ำบาตรมอสโกออกจากระบบการเงินโลกโดยสิ้นเชิง หากกองทหารรัสเซียกล้าที่จะบุกยูเครน

ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่าวอชิงตันเตรียมการ กำหนดเป้าหมายไปยังธนาคารรายใหญ่ของประเทศ เพื่อสั่งการตัดการเชื่อมต่อมอสโกจากเครือข่าย SWIFTทั้งหมดทั่วโลกได้ในทันที เมื่อถึงเวลาลงโทษรัสเซียให้หนัก

ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา  อิกอร์ เซชิน (Igor Sechin) ผู้บริหารบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียอย่างรอสเนฟท์ (Rosneft) กล่าวว่าวอชิงตันยักยอกเงินดอลลาร์ของผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และกล่าวว่าค่าเงินดอลลร์กำลังดิ่งเหวลงเรื่อยๆเนื่องจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐ พิมพ์เงินอนาคตมาใช้อย่างมหาศาล โดยพื้นฐานแล้วเหมือนทำน้ำท่วมเศรษฐกิจโลกด้วยอุปทานเงินส่วนเกินของสหรัฐฯ

 

เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียตอกย้ำว่าปักกิ่งและวอชิงตัน  “จำเป็นต้องเลิกใช้ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศที่ควบคุมโดยตะวันตก” นักการทูตระดับสูงรายนี้ยังกล่าวว่าสหรัฐฯใช้การคว่ำบาตร เพื่อจำกัดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีของทั้งสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ปูตินและสีพัฒนาความสัมพันธ์ในเชิงยุทธศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อคานอำนาจสหรัฐอเมริกา ควบคู่กับการทำสัญญาทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกันที่มีมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพลังงาน ปีนี้ผู้นำรัสเซียกับจีนยังตกลงขยายสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือระยะ 20 ปีอีกด้วย

ปูตินสำทับว่า มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นมา 31% เป็น 123,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ และทั้งสองประเทศตั้งเป้าดันตัวเลขเพิ่มเป็น 200,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคต

ผู้นำแดนหมีขาวทิ้งท้ายว่า จีนจะกลายเป็นศูนย์กลางนานาชาติสำหรับการผลิตวัคซีนโควิด “สปุตนิก” และ “สปุตนิกไลต์” ของรัสเซีย โดยมีการทำสัญญากับผู้ผลิต 6 แห่งเพื่อผลิตวัคซีนกว่า 150 ล้านโดสแล้ว